ค่ำคืนนี้ฟุตบอลยูโร 2020 รอบรองชนะเลิศกำลังจะเปิดฉาก โดยทั้ง 3 นัดสุดท้ายรวมนัดนี้ จะแข่งขันกันที่สนามเวมบลีย์ทั้งหมด และในเกมคู่แรกค่ำคืนนี้จะเป็นการเจอกันของ 2 ชาติที่เรียกได้ว่าเป็นคู่รักคู่แค้นในเวทีระดับชาติที่เคยเผชิญหน้ากันมาก่อนถึง 37 ครั้ง และยังเป็นชาติที่เจอกันในฟุตบอลยูโรมากถึง 6 ครั้ง นั่นคืออิตาลีกับสเปน ซึ่งน่าจะเป็นสองทีมที่มีเกมรุกจัดจ้านที่สุดในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นี้ด้วย
อัลบาโร โมราตา กองหน้าตัวความหวังของสเปน ที่ปีนี้ไม่ร้อนแรงเท่าที่ควร
เส้นทางสู่รอบรองชนะเลิศ
อิตาลีเป็นหนึ่งในทีมที่ฟอร์มดีที่สุดในฟุตบอลยูโรคราวนี้แบบไร้ข้อกังขา พวกเขาชนะในรอบแบ่งกลุ่มได้ครบทั้ง 3 นัด ไล่ถล่มทีมอย่างตุรกี 3-0, สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 และเอาชนะเวลส์ 1-0 หลังจากนั้นพวกเขาก็ต้องออกแรง 120 นาทีในการเอาชนะออสเตรีย ก่อนเฉือนชัยเหนือเบลเยียมในรอบ 8 ทีมสุดท้ายด้วยสกอร์ 2-1 โดยเมื่อรวมกับผลงานในรอบคัดเลือก ทำให้พวกเขากลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่เก็บชัยชนะได้ถึง 15 เกมรวดในศึกยูโร
นักเตะหลายคนฉายแววอย่างโดดเด่นภายใต้กุนซือ โรแบร์โต มันชินี ไม่ว่าจะเป็น มานูเอล โลคาเตลลี ที่ลงมาทำหน้าที่แทน มาร์โก แวร์รัตติ ในช่วง 2 นัดแรก, นิโคโล บาเรลลา, จอร์จินโญ รวมไปถึงแนวรุกอย่าง โดมินิโก แบร์ราดี หรือ ลอเรนโซ อินซิเญ แม้แต่ตัวสำรองที่ได้รับโอกาสไม่มากก็ยังทำได้อย่าง มัตเตโอ เปสสินา หรือ เฟเดริโก เคียซา ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งเป็นตัวจริงในเวลาต่อมา
ขณะที่ทีมสเปนของกุนซือ หลุยส์ เอ็นริเก โชว์ฟอร์มไม่เข้าตานักใน 2 นัดแรก หลังทำได้แค่เสมอสวีเดนกับโปแลนด์ ก่อนที่จะมาระเบิดฟอร์มกับสโลวะเกียด้วยการถล่มไป 5-0 หลังจากนั้นสเปนก็มายิงประตู 5 ลูกได้อีกในเกมที่เอาชนะโครเอเชียในการต่อเวลาพิเศษ 5-3 และแต่ก็มาโชว์ฟอร์มหืดจับอีกครั้งในการเจอกับสวิตเซอร์แลนด์ และโดนลากไปถึงช่วงยิงจุดโทษ ก่อนที่ อูไน ซิมอน จะโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม เซฟจุดโทษถึง 3 ครั้ง และพาทีมเข้าไปพบกับอิตาลีได้สำเร็จ
เอ็นริเกปลุกทีมของพวกเขาได้ทันเวลา หลังจากทำท่าจะต้องร่วงรอบแรกหากไม่สามารถเอาชนะสโลวะเกียได้ในนัดสุดท้ายรอบแบ่งกลุ่ม แต่การได้ เซร์คิโอ บุสเกตส์ กลับมาคุมแดนกลาง ทำให้นักเตะอย่างเปดรีมีบทบาทมากขึ้นในเกมรุก ส่งผลให้เกมรุกจากริมเส้นของ เฟร์ราน ตอร์เรส กับ ปาโบล ซาราเบีย มีความอันตรายมากขึ้นตามไปด้วย แต่สิ่งที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามคือ หน้าเป้าทั้ง เคราร์ด โมเรโน และ อัลบาโร โมราตา ที่ยังไม่สามารถยิงประตูได้เยอะเท่าที่ควร
อิตาลีเอาชนะเบลเยียมในรอบ 8 ทีม ทำสถิติไม่แพ้ใคร 32 เกมติดต่อกัน
อิตาลีมีดีอย่างไร
อิตาลีคือทีมที่หยุดความร้อนแรงของสเปนในการแข่งขันฟุตบอลยูโรรอบสุดท้าย หลังลากสถิตินี้ยาวนานมาตั้งแต่ปี 2008 พวกเขาเอาชนะสเปนได้ 2-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูโร 2016 ที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นการถอนแค้นจากความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นในปี 2008 และ 2012 โดยเฉพาะในปี 2012 เป็นการพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศ เมื่ออิตาลีถูกสเปนต้อนยับ 4-0
นอกจากชัยชนะที่ได้มาอย่างต่อเนื่องแล้ว อิตาลียังเป็นทีมที่ทำเกมบุกมากที่สุดในการแข่งขันคราวนี้ พวกเขาสร้างโอกาสลุ้นประตูได้มากที่สุดถึง 101 ครั้งไปแล้ว ถือสถิติครองบอลมากกว่าคู่แข่งในทุกนัดที่ลงสนาม เฉลี่ย 55.8% และยิงประตูรวมไปแล้วถึง 11 ประตู เป็นรองเพียงสเปนชาติเดียวเท่านั้น
อิตาลีมีสถิติในรอบรองชนะเลิศของฟุตบอลยูโรพอสมควร 4 ครั้งที่พวกเขามาถึงรอบนี้ก่อนหน้านี้สามารถผ่านเข้ารอบมาได้ถึง 3 ครั้ง โดยครั้งเดียวที่พวกเขาพ่ายแพ้ต้องย้อนไปในฟุตบอลยูโร 1988 โดยพ่ายให้กับทีมอย่างสหภาพโซเวียต แต่นอกจากนั้นอีก 3 ครั้งพวกเขาเอาชนะได้ทั้งหมด รวมไปถึงชัยชนะในเกมสุดพลิกล็อกในฟุตบอลยูโร 2012 ที่พวกเขาเอาชนะเยอรมนีได้ 2-1 ด้วย
อิตาลียังอยู่ในเส้นทางการสร้างประวัติศาสตร์ พวกเขาเก็บสถิติไม่แพ้ใครมาได้ต่อเนื่องยาวนานถึง 32 นัดเข้าไปแล้ว ทำลายสถิติของตัวเองที่เคยทำไว้ในยุคปี 1925-1939 ที่ตำนานโค้ชอย่าง วิตโตริโน ปอซโซ ทำไว้ติดต่อกัน 30 เกม ลงไปแล้ว และเหลือเพียงสถิติไม่แพ้ใครติดต่อกันมากที่สุดตลอดกาล 35 เกม ที่สเปนถือครองร่วมกับบราซิลเท่านั้น ซึ่งในเกมนี้พวกเขาก็ต้องการเอาชนะสเปนเพื่อเดินหน้าทำสถิตินั้นให้ได้
สเปนได้ อูไน ซิมอน เป็นฮีโร่เซฟลูกที่จุดโทษในเกมก่อน
สเปนมีอะไรดี
สเปนมีสถิติไร้เทียมทานในรอบรองชนะเลิศก่อนหน้านี้ พวกเขาเดินทางถึงรอบรองฯ มาแล้ว 4 ครั้ง มีสถิติชนะรวด 100% ถึงแม้ 3 ใน 4 ครั้งจะต้องต่อเวลาพิเศษ และ 2 ครั้งในนั้นก็ต้องไปตัดสินด้วยการดวลลูกที่จุดโทษก็ตาม พวกเขาเจอกับอิตาลีมา 3 ปีติดก่อนหน้านี้ และเอาชนะไปได้ 2 จาก 3 ครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกจาก 3 ครั้งก่อนหน้าที่พวกเขาถูกมองว่าเป็นรองอิตาลีก่อนลงสนาม
หลังจากโชว์ฟอร์มสุดฝืดใน 2 นัดแรกที่ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้ สเปนก็มาระเบิดฟอร์มยิง 2 นัด 10 ประตู ทำให้ตอนนี้พวกเขาขึ้นไปรั้งในอันดับทีมที่ยิงประตูมากที่สุดในรายการนี้ที่ 12 ประตู ทั้งยังครองสถิติการครองบอลเฉลี่ยต่อเกมมากที่สุดที่ 67.2% และมีเปอร์เซ็นต์การจ่ายบอลแม่นยำที่สุด 89.4% แต่ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าทีมที่เจอกับสเปนก่อนหน้านี้เป็นทีมที่มาตั้งรับใส่พวกเขา ซึ่งนั่นจะต่างจากอิตาลีที่เป็นทีมสายบู๊และไล่บอลอย่างหนักที่พวกเขากำลังจะเจอ
แม้จะมีสถิติที่ดูเหมือนไร้เทียมทานในการเล่นรอบรองฯ ประกอบกับสถิติอีกอย่างที่บอกว่า ถ้าสเปนผ่านรอบ 8 ทีมไปได้จะเป็นแชมป์ในบั้นปลายเสมอ แต่สเปนกลับเป็นทีมที่ไม่ถูกกับสนามเวมบลีย์เอาเสียเลย พวกเขาพ่ายไปถึง 5 จาก 9 นัดที่ต้องลงสนามที่เวมบลีย์ และอีก 4 นัดที่เหลือก็เอาชนะได้แค่ 2 และเสมอ 2 เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม สเปนก็ยังถือว่าเป็นอีก 1 ทีมที่ยังไม่แพ้ใครในฟุตบอลยูโรคราวนี้ แม้จะไม่ได้มีสถิติสุดหรูเหมือนอังกฤษหรืออิตาลีที่ชนะคู่แข่งมาในทุกนัดที่เจอกัน แต่นั่นทำให้สเปนไม่แพ้ใครติดต่อกันมา 13 นัดแล้วนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีก่อน โดยรวมสถิติก็ชนะ 6 เสมอ 7 และพวกเขายังต้องการยืดสถิตินี้ออกไปอีก ซึ่งนั่นหมายความว่าสเปนต้องล้มอิตาลีให้ได้เท่านั้น
อิตาลีต้องเสีย เลโอนาร์โด สปินาซโซลา ฟูลแบ็กตัวเก่ง ไปในเกมก่อน
ความพร้อมก่อนเจอกัน
อิตาลีมีปัญหาเรื่องความพร้อมมากกว่าสเปนอย่างแน่นอน เมื่อพวกเขาต้องเสีย เลโอนาร์โด สปินาซโซลา ไปจากอาการบาดเจ็บเอ็นร้อยหวาย ซึ่งนั่นทำให้เขาจะต้องพักยาวไปอย่างน้อย 4 เดือน ซึ่งก็หมายความว่าอิตาลีจะหมดสิทธิ์ใช้งานเขาในเกมนี้แน่นอนแล้ว ส่วนข่าวดีก็ยังพอมี เมื่อ อเลสซานโดร ฟลอเรนซี จะหายกลับมาจากอาการบาดเจ็บ ลงประจำการให้ฝั่งขวาได้หาก โรแบร์โต มันชินี ต้องการ
ขณะที่สเปนต้องรอลุ้นความฟิตของ ปาโบล ซาราเบีย คนเดียวเท่านั้น หลังจากนักเตะมีปัญหาอาการบาดเจ็บที่โคนขาหนีบมาในเกมที่พบกับสวิตเซอร์แลนด์ และมีโอกาสสูงที่จะลงสนามไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เอ็นริเกก็ยังมีนักเตะคนอื่นๆ ที่จะลงเล่นทดแทนเขาได้อย่าง เฟร์ราน ตอร์เรส จากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งก็อาจจะมองได้ว่า จุดนี้ก็เจ๊าไปกับการที่อิตาลีไม่มีฟูลแบ็กตัวเก่งในทีม
โดยการเจอกัน 6 นัดหลังสุดของทั้งคู่ เป็นฝั่งสเปนทำได้ดีกว่า ด้วยการเอาชนะไปได้ถึง 3 นัด จาก 6 นัด โดยอิตาลีชนะได้เพียงนัดเดียวคือในยูโรเมื่อ 5 ปีก่อน อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจคือการที่พวกเขาเจอกันนัดสุดท้ายเมื่อเดือนกันยายน ปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงการคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 นั่นหมายความว่า ทีมของ หลุยส์ เอ็นริเก ยังไม่เคยเผชิญหน้ากับทีมของ โรแบร์โต มันชินี เลยสักครั้งเดียวนั่นเอง
อ้างอิง: