ส่องขนาดตลาดตราสารหนี้ ESG จีน สหรัฐฯ และไทย พร้อมวิเคราะห์แนวโน้ม โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย (KResearch) ซึ่งคาดว่าในระยะข้างหน้า ตลาดตราสารหนี้ ESG จีนและไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง สวนทางกับตลาดสหรัฐฯ ที่แผ่วลง
โดยจีนจะขยายตัวเร่งขึ้น จากการสนับสนุนของรัฐบาลจีนและภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการผลิตและการเงินที่ตื่นตัวด้านการเงินที่ยั่งยืน
ขณะที่สหรัฐฯ จ่อชะลอลงมากขึ้น จากการที่ภาคธุรกิจและนักลงทุนบางส่วนเริ่มตอบสนองนโยบายของทรัมป์ที่ไม่สนับสนุน ESG
สำหรับไทยจ่อขยายตัวต่อเนื่อง โดยจะได้รับผลดีจากมาตรการโอนกองทุน LTF ไปยัง ThaiESG
ยอดคงค้างตราสารหนี้ ESG จีน เฉียด 3 แสนล้านแล้ว
ตลาดตราสารหนี้ ESG จีนขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมเปิดตัว Green Bond รุ่นแรกในลอนดอน จีนมียอดคงค้างตราสารหนี้ ESG 298.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และมียอดตราสารหนี้ออกใหม่ในเดือนก่อน 13.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมากกว่าครึ่งหนึ่งมาจากธุรกิจภาคผลิต
ทั้งนี้ ภายในปี 2025 รัฐบาลจีนวางแผนออก Green Bond รุ่นแรกเพื่อจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญที่จะยกระดับมาตรฐาน ESG ของจีนให้เท่าเทียมกับระดับสากล
การออกตราสารหนี้ ESG ใหม่ในสหรัฐฯ หดตัวกว่า 13 เท่า
ขณะที่การออกตราสารหนี้ ESG ใหม่ในสหรัฐฯ หดตัวกว่า 13 เท่าเมื่อเทียบปีต่อปี (YoY) หลังบริษัท BlackRock ชะลอการลงทุนตามแนวนโยบายต่อต้าน ESG ของทรัมป์ ประกอบกับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยและเงินเพื่อที่สูงขึ้น
โดยในกุมภาพันธ์ 2025 มียอดตราสารหนี้ ESG ออกใหม่เพียง 0.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากกุมภาพันธ์ 2024 ที่ 6.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ยอดคงค้างตราสารหนี้ ESG อยู่ที่ 279.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
ตลาดตราสารหนี้ ESG ไทยจ่อขยายตัวเร่งขึ้น
ส่วนตลาดตราสารหนี้ ESG ไทยทรงตัว แต่คาดว่าจะขยายตัวเร่งขึ้นจากการโอนกองทุน LTF เข้ากองทุน ThaiESG ในอนาคต
โดยยอดคงค้างตราสารหนี้ ESG ไทยอยู่ที่ 25.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการโอนหน่วยลงทุนจากกองทุน LTF ที่จะครบกำหนดขายในสิ้นปีนี้เข้ากองทุน ThaiESG โดยเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาด ESG ขึ้นอยู่กับวงเงินที่ลดภาษีและระยะเวลาถือครอง (Lock-up Period) ซึ่งจะมีความชัดเจนมากขึ้นภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้