โรงพยาบาลไทยหลายแห่ง เช่น ศิริราช ต้องแบกรับภาระค่าไฟฟ้ามหาศาล (กว่า 600 ล้านบาทต่อปี) ซึ่งเป็นเงินที่สามารถนำไปจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อนเป้าหมายพลังงานสะอาด (SDGs 7) และรัฐธรรมนูญไทยกำหนดให้ประชาชนเข้าถึงสาธารณูปโภคพื้นฐาน
และนี่คือโจทย์ใหญ่ที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กำลังเข้ามาตอบ ผ่านกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อส่งเสริมการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ในโรงพยาบาล
โรงพยาบาลกับภาระค่าไฟมหาศาล
สำหรับคนทั่วไป โรงพยาบาลคือที่พึ่งสุดท้ายยามเจ็บป่วย แต่เบื้องหลังการรักษาที่ทันสมัยและซับซ้อนนั้นคือภาระค่าไฟมหาศาลที่หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง เครื่องเอ็กซเรย์ เครื่องช่วยหายใจ ไปจนถึงห้องผ่าตัดและห้อง ICU ทุกอย่างต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมง และไม่สามารถหยุดพักได้แม้แต่วินาทีเดียว เพราะทุกลมหายใจของผู้ป่วยขึ้นอยู่กับมัน
โรงพยาบาลหลายแห่งในกรุงเทพฯ ต้องเผชิญค่าไฟพุ่งสูงเป็นภาระหลักหลายร้อยล้านบาทต่อปี ซึ่งสวนทางกับเป้าหมายการใช้พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ
กกพ. และบทบาทของกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
ท่ามกลางโจทย์ค่าไฟมหาศาล กกพ. ได้เข้ามาเป็นผู้วางโครงสร้างทางออก ผ่านการอนุมัติใช้เงินกองทุนพัฒนาไฟฟ้า มาตรา 97(4) จัดทำโครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในหน่วยบริการสาธารณสุขและหน่วยงานด้านการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รวมทั้งสิ้น 439 แห่งครอบคลุมตั้งแต่โรงพยาบาลใหญ่ไปจนถึงศูนย์พัฒนาสังคม ด้วยงบประมาณ 2,537.45 ล้านบาท
ความเคลื่อนไหวล่าสุดในเดือนกรกฎาคม 2568 แสดงให้เห็นว่าโครงการนี้ไม่ใช่เพียงแนวคิด แต่เริ่มเห็นผลชัดเจนแล้ว โดยมีการติดตั้งแล้วเสร็จ 138 แห่ง กำลังการผลิตช่วงพีครวมกว่า 20,000 กิโลวัตต์ ซึ่งหมายถึงศักยภาพในการลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 110 ล้านบาทต่อปี เงินจำนวนนี้ถูกเปลี่ยนจากค่าใช้จ่ายที่สูญไปในระบบ กลายเป็นโอกาสในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์หรือพัฒนาคุณภาพการรักษาแทน
กกพ. ขยายผลสู่พื้นที่ห่างไกล
สิ่งที่น่าสนใจคือ กกพ. ไม่ได้มองโครงการนี้เพียงในเชิง “ลดค่าไฟของโรงพยาบาลใหญ่” เท่านั้นแต่ยังมองไปไกลถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
แผนการขยายผลจึงครอบคลุมทั้งพื้นที่ที่เชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายไฟฟ้า (On-grid) และพื้นที่ที่อยู่นอกระบบ (Off-grid) โดยกลุ่มเป้าหมายแรกคือโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่อยู่กระจายตามแนวชายแดนและชนบททั่วประเทศ
ในพื้นที่เหล่านี้ พลังงานแสงอาทิตย์ไม่ใช่แค่คำว่า ‘พลังงานสะอาด’ แต่คือความหมายของการเข้าถึงสาธารณสุขพื้นฐานอย่างแท้จริง เมื่อไฟฟ้ามีเสถียรภาพมากขึ้น โรงพยาบาลเล็ก ๆ ก็สามารถใช้เครื่องมือแพทย์ได้อย่างเต็มศักยภาพและผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกลก็มีโอกาสได้รับการรักษาที่ไม่ต่างจากในเมืองใหญ่
ศิริราช – เมื่อโซลาร์ช่วยลดภาระค่าไฟ
ศิริราชคือหนึ่งในโรงพยาบาลที่ได้รับการสนับสนุน และเป็นภาพตัวแทนที่ชัดเจนที่สุดของโครงการนี้ โรงพยาบาลต้องแบกรับค่าไฟฟ้ากว่า600 ล้านบาทต่อปีจากการใช้อุปกรณ์แพทย์ที่กินไฟมหาศาล แต่เมื่อได้รับการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาในแต่ละอาคารรวมกำลังการผลิต 910 กิโลวัตต์ ซึ่งถือว่าเต็มเพดานที่กฎหมายอนุญาตให้ติดตั้งได้ ศิริราชสามารถลดค่าไฟได้กว่า 5 แสนบาทต่อเดือน หรือปีละกว่า 6 ล้านบาท
“เงินที่ประหยัดได้จากค่าไฟ เราจะนำกลับมาจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยต่อไป” ผศ.นพ.ธีรวุฒิ ธรรมวิบูลย์ศรี รักษาการรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ยืนยันถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่จับต้องได้ ไม่เพียงเท่านั้น การใช้โซลาร์ยังช่วยลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากฟอสซิลได้กว่า 1.5 ล้านหน่วยต่อปี ซึ่งมีส่วนโดยตรงต่อการลดปัญหาโลกร้อน
ผศ.นพ.ธีรวุฒิ ธรรมวิบูลย์ศรี รักษาการรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช
วชิรพยาบาล – ลดภาระ สร้างโอกาสใหม่
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาลก็เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ โดยเดิมต้องจ่ายค่าไฟฟ้าราว 11 ล้านบาทต่อเดือน หรือกว่า 130 ล้านบาทต่อปีเพื่อดูแลคนไข้กว่า 1 ล้านคนในแต่ละปี ด้วยภาระงานหนักในห้อง ICU และห้องผ่าตัดที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทันสมัย
หลังจากติดตั้งโซลาร์รวม 710 กิโลวัตต์ใน 3 อาคารหลัก ทั้งอาคารทีปังกรรัศมีโชติ อาคารพัชรกิติยาภา และอาคารหอพักบุคลากร โรงพยาบาลสามารถลดค่าไฟได้เกือบ 400,000 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 4 ล้านบาทต่อปี ตัวเลขเหล่านี้ไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณ แต่ยังเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลจัดสรรเงินไปพัฒนาคุณภาพการรักษาได้มากขึ้น
ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล
“การได้รับการสนับสนุนให้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ได้ช่วยแค่ลดภาระค่าใช้จ่าย แต่ยังทำให้บริการของเรามีเสถียรภาพมากขึ้น” ผศ.นพ.จักราวุธ มณีฤทธิ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล กล่าว
จากโรงพยาบาลใหญ่สู่ทุกชุมชน
ทั้งกรณีของศิริราชและวชิรพยาบาลต่างสะท้อนภาพเดียวกันว่า โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา แต่คือการเปลี่ยนพลังงานสะอาดให้กลายเป็นทรัพยากรใหม่ในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
เมื่อค่าไฟถูกลดลง เงินที่เหลือจึงกลายเป็นทุนใหม่ในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ การพัฒนาบริการ และที่สำคัญคือการสร้างโอกาสให้คนไข้เข้าถึงการรักษาที่ดีกว่าเดิม นี่คือจุดเริ่มต้นที่กกพ. ตั้งใจจะขยายผลไปสู่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนเพื่อกระจายประโยชน์สู่ชุมชนทั่วประเทศ
ท้ายที่สุด นี่คือการเดินทางของพลังงานสะอาดที่เริ่มจากแสงแดดบนหลังคาโรงพยาบาล สู่การช่วยเหลือชีวิตผู้ป่วย และการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยในทุกพื้นที่