วันนี้ (15 ธันวาคม) ที่ถนนข้าวสาร เขตพระนคร กรุงเทพฯ พล.ต.อ. อดิศร์ งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย พ.ต.อ. สนอง แสงมณี ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ชนะสงคราม เจ้าหน้าที่สำนักงานเขตพระนคร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ตรวจความพร้อมในการให้บริการของสถานบริการ หลังจากรัฐบาลประกาศให้วันนี้เป็นวันแรกที่จะขยายเวลาเปิดสถานบริการจนถึง 04.00 น.
พล.ต.อ. อดิศร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการตรวจสอบเรื่องความปลอดภัยของสถานบริการในถนนข้าวสาร ทั้งสภาพอาคารและทางหนีไฟ ซึ่งบนถนนข้าวสารมีสถานบริการ 3 แห่งที่ได้รับอนุญาตให้เปิดถึงเวลา 04.00 น. ประกอบด้วย ร้านเดอะคลับ, มอลลี่บาร์ และบริคบาร์
สำหรับการเข้าตรวจสอบวันนี้ จะเน้นเรื่องของการป้องกันอัคคีภัย เฝ้าระวังในเรื่องของเครื่องมืออุปกรณ์ การป้องกันผลกระทบในเรื่องของเสียง และเรื่องของกล้องวงจรปิดที่จะเป็นอุปกรณ์สำคัญของตำรวจ ที่จะใช้ติดตามจับกุมผู้กระทำความผิด รวมถึงดูพื้นที่รอบนอกที่อยู่บนถนนข้าวสาร และรอบบริเวณถนนข้าวสาร เพราะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา จุดนี้เป็นจุดหลักที่มีนักท่องเที่ยวรวมตัวจำนวนมาก
พล.ต.อ. อดิศร์ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังตรวจสอบไปถึงร้านประเภทอื่นๆ ที่มีการจำหน่ายสุราพร้อมอาหาร หรือการแสดงดนตรีที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพในเรื่องของเสียง และดูว่าแต่ละร้านได้รับใบอนุญาตประเภทใด ซึ่งย้ำว่าแต่ละร้านหากได้รับใบอนุญาตประเภทไหนให้ปฏิบัติตามในแบบนั้น
ขณะเดียวกันมาตรการที่ขยายเวลาเปิดจนถึง 04.00 น. ตามกฎหมาย คือร้านต้องปิดแล้ว หากยังพบลูกค้านั่งดื่มกินอยู่ในร้านก็ถือว่ามีความผิดในทางพฤตินัยเช่นกัน
“ผมมองว่าข้าวสารเป็นจุดแตกหักที่สำคัญ และอยู่ใกล้สถานที่สำคัญ ดังนั้นจะปล่อยหรือคุยกันแบบไหน ผู้ประกอบการจะต้องให้ความร่วมมือ ถ้าปล่อยให้ข้าวสารสุดโต่ง ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็จะเยอะ ดังนั้นความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ ตำรวจ และเขต เป็นเรื่องสำคัญ 50 ร้านบนถนนข้าวสารจะเปิดเสียงดังขนาดไหน จะขายอะไรบ้าง มันต้องมีกติกาการดำเนินธุรกิจและใช้ร่วมกัน” พล.ต.อ. อดิศร์ กล่าว
ด้าน พล.ต.ท. ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายป้องกันปราบปรามไปวางมาตรการป้องกันแล้ว ซึ่งต้องแบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนแรกเกี่ยวกับการเปิดสถานบริการหรือผับเกินเวลา และร้านเหล่านั้นมีใบอนุญาตเปิดถูกต้องหรือไม่ ส่วนนี้กรมการปกครองเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย โดยมีตำรวจเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
ส่วนที่ 2 จะเป็นหน้าที่ของตำรวจที่เข้าไปดูแลความเรียบร้อยระหว่างที่ร้านเปิดให้บริการ เช่น การจำหน่ายสุราตามเวลาที่กฎหมายกำหนด การป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวใช้สารเสพติด สิ่งผิดกฎหมายในสถานบริการ การป้องกันเหตุทะเลาะวิวาท และการปิดให้บริการตรงเวลาที่กำหนด
พล.ต.ท. ธิติ กล่าวต่อว่า การตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์เพื่อป้องกันการขับรถโดยประมาท รวมถึงการป้องกันเหตุอาชญากรรมอื่นๆ ทางตำรวจทำเป็นวงรอบอยู่แล้ว เบื้องต้นจะใช้มาตรการเดิมที่เคยดำเนินมาก่อนหน้านี้ แต่จะขยับเวลาให้สอดคล้องกับมาตรการดังกล่าว เช่น เดิมตั้งด่านถึง 02.00 น. ก็จะขยายเวลาให้ครอบคลุมถึงเวลาที่ขยายช่วงหลัง 04.00 น. ด้วย
ทั้งนี้ ยอมรับว่าช่วงแรกมาตรการต่างๆ ที่วางไว้อาจยังมีปัญหาอยู่บ้าง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการปรับแก้ไขจนกว่าจะหามาตรการรองรับที่เหมาะสมได้ ส่วนช่วงคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ที่จะอนุโลมให้เปิดสถานบันเทิงได้ถึง 06.00 น. ของวันที่ 1 มกราคม ยืนยันว่าตำรวจเคยมีประสบการณ์ดูแลความเรียบร้อยแบบนี้มาแล้ว ก็จะนำแผนที่ใช้ได้ผลมาปรับใช้ให้ครอบคลุมกับสภาพปัจจุบันด้วย
ขณะที่ พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวยอมรับว่า ส่วนตัวมีความเป็นห่วงว่านักท่องเที่ยวจะเข้าถึงยาเสพติดได้เพิ่มมากขึ้น และอาจแพร่กระจายไปสู่เยาวชนได้ อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐบาลขยายเวลาเปิดสถานบริการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว ผู้ประกอบการและภาคเอกชนต้องร่วมกันมีความรับผิดชอบต่อสังคมในเรื่องดังกล่าวด้วย
ส่วนมาตรการป้องกันนั้น เบื้องต้นจะต้องสร้างการรับรู้ก่อน จากนั้นตำรวจและฝ่ายปกครองในพื้นที่จะต้องเรียกผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่เข้ามาหารือแนวทางป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในสถานประกอบการ
หากพบว่ารายใดฝ่าฝืนไม่ให้ความร่วมมือตามที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองบังคับใช้มาตรการหรือตักเตือนไปแล้ว ก็ต้องถูกบังคับใช้กฎหมายสั่งปิด 5 ปี และในฐานะรักษาราชการแทนเลขาธิการ ป.ป.ส. ก็มีอำนาจตามกฎหมายสั่งพักใบอนุญาตได้ชั่วคราว 30 วันเช่นกัน