วันนี้ (5 มิถุนายน) ในการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิดสถานบันเทิงแบบครบวงจร หรือ Entertainment Complex วุฒิสภา ได้เชิญ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้าชี้แจงถึงความคืบหน้าและที่มาที่ไปของร่าง พ.ร.บ. สถานบันเทิงครบวงจรฯ โดยระบุว่า ไอเดียนี้ผุดตั้งแต่ยุค เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เราต้องการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ จึงมองหาธุรกิจที่เป็น Man-made Destination เพราะประเทศคู่ค้าของเรามีหมด ทำให้ไทยเป็นจุดอ่อนในภาคการท่องเที่ยว
“เราเคยพึ่งพาจีนเป็นหลัก แต่ปีนี้เขาก็ไปท่องเที่ยวในประเทศของเขา แต่พอเราได้ในฝั่งยุโรป ก็พอประคับประคองไปได้ แต่ในระยะยาวมันจะเป็นปัญหา ถ้าเราไม่สามารถปรับโครงสร้างด้านการท่องเที่ยวได้อย่างจริงจัง จึงมีการตั้งกรรมาธิการเพื่อศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยสภาผู้แทนราษฎร และมีการลงมติเห็นชอบเป็นเสียงเอกฉันท์ ฝ่ายค้านไม่ได้ลงมติโดยใช้วิธีการงดออกเสียง แต่ความจริงแล้วนโยบายพรรคเขาก็มี มีการเสนอเรื่องกาสิโนเช่นกัน เป็นกาสิโนเล็กๆ ทั่วประเทศ หลักคิดจึงคล้ายกัน และการอภิปรายในสภาก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ค้าน เพียงแต่เป็นห่วงเรื่องกระบวนการ” จุลพันธ์กล่าว
จุลพันธ์กล่าวต่อไปว่า จากนั้นกฎหมายก็เข้าสู่กระทรวงการคลัง มีการปรับปรุง ก่อนจะรับฟังความคิดเห็นทำประชาพิจารณ์ถึง 3 รอบ ซึ่งพบว่ามีคนเห็นด้วยถึง 80% และเข้าสู่ชั้นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ยอมรับว่า ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาจะมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดคุยเป็นเรื่องแรก หากไม่มีวาระอื่นเข้ามาแทรก ขณะที่เรื่องการแก้ไข ยืนยันว่าหากผ่านสภาวาระแรกไปแล้ว จะมีการแก้ไขก็ยินดี เพราะรัฐบาลไม่มีธง ถ้าจะแก้ไขให้สบายใจก็เป็นเรื่องของสภา แต่มั่นใจว่า Entertainment Complex จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว
จุลพันธ์ยังกล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาได้เดินสายพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการสนับสนุนที่ดี แต่ก็มีความเป็นห่วงเรื่องสังคม เราพูดคุยกับโอเปอเรเตอร์ ซึ่งเขาก็มีความสนใจ เพราะที่ผ่านมาก็มีการประสานงานมาเป็นปีแล้ว แต่ก็ปฏิเสธตลอด แต่วันนี้กฎหมายเข้าสภาแล้ว จึงจำเป็นต้องรับฟังผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจนี้มา แต่ยืนยันว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการให้ผลประโยชน์หรือสิทธิ์ และจากการรับฟังความคิดเห็น พบว่าเขาก็เสนอให้มีมาตรฐานระดับโลก มีกฎหมายค่อนข้างรัดกุม มีการป้องกันการติดการพนันและการฟอกเงินด้วย
จากนั้น คำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในฐานะกรรมาธิการ สัดส่วนบุคคลภายนอก ตั้งคำถามว่า เป้าหมายของรัฐบาลดูเหมือนจะย้อนแย้งกัน ทางหนึ่งต้องการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว แต่อีกทางดูเหมือนว่าต้องการจะขจัดการพนันเถื่อน ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้ ขอยืนยันว่าไปพร้อมกันไม่ได้
คำนูณกล่าวด้วยว่า ในเรื่องของการแก้ไขการพนัน ถ้าเข้มงวดมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้สร้างความไม่ไว้ใจให้นักพนัน ก่อนจะถามว่าได้มีข้อมูลหรือไม่ ว่ากาสิโนจะมีจุดคุ้มทุนเมื่อมีสัดส่วนของผู้เล่นในประเทศเท่าไหร่ ซึ่งกฎหมายนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ เพราะเมื่อผ่านชั้น สส. ก็ต้องไปเจอ สว.
จุลพันธ์ตอบว่า ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องย้อนแย้งกัน เป้าหมายเรามี 2 มิติอยู่แล้ว เรื่องแรกคือรายได้จากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เพราะการลงทุนแสนกว่าล้าน อย่างไร GDP ก็ขึ้น อีกเรื่องคือการลดการพนันผิดกฎหมาย ถ้าจะบอกให้หมดไปเลย คงไม่ได้
ส่วนข้อกังวลเรื่องการฟอกเงิน จุลพันธ์กล่าวว่า ข้อเท็จจริงกลไกและเทคโนโลยีในปัจจุบันทำให้กระบวนการในการฟอกเงินที่นี่ไม่ใช่ตัวเลือกที่ต้องเลือก เพราะยากลำบาก มีกล้องจับอยู่ตลอดเวลา กระบวนการนำเงินเข้าสามารถตรวจสอบได้ว่าเงินมาจากแหล่งไหน และสามารถชี้แจงให้ชัด ดังนั้น ถ้ากลไกและการกำกับดูแลของเราเป็นไปโดยรัดกุม เชื่อว่าเรื่องพวกนี้สามารถป้องกันได้ เราต้องเอามาตรฐานที่มีอยู่ในระดับโลกเอาเข้ามาใช้
ด้าน จรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะกรรมาธิการ สัดส่วนบุคคลภายนอก ตั้งคำถามว่าทำไมไม่ทำศูนย์การแพทย์ (Medical Center) ซึ่งจะคุ้มทุนมากกว่า การสร้างแบบนี้ จะมีรายได้เข้าประเทศเยอะมาก คิดแบบบ้านๆ เราได้ 30% เจ้าของทุนได้ 70% เป็นแบบนี้หรือไม่ แล้วทำไมรัฐบาลไม่ลงทุนเอง เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ละลายแม่น้ำ เอามาลงทุนให้เกิดขึ้นจริง เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ต้องแบ่งให้ใคร
จากนั้นจุลพันธ์ชี้แจงว่า กระบวนการแก้กฎหมายหลักการและเหตุผลทำได้ยาก แต่โมเดลการทำ Entertainment Complex เป็นแบบนี้จริงๆ ซึ่งจะมีผลในเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีนัยสำคัญ แต่อย่างอื่นๆ เราไม่ได้ละทิ้ง ทั้งในเรื่องของสุขภาพ การลงทุนในลักษณะที่เป็น Indoor Stadium เราดึงการแข่งขันที่เป็นระดับโลก