หลายคนอาจสงสัยว่าค่าไฟฟ้าที่เราจ่ายอยู่ทุกวันนี้ถูกกำหนดโดยใคร แล้วกำหนดบนพื้นฐานของปัจจัยอะไรบ้าง แล้วมีหน่วยงานไหนคอยกำกับดูแลเพื่อให้ค่าไฟอยู่ในระดับที่เหมาะสม ในบทความตอนนี้จะไขทุกข้อข้องใจของหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการไฟฟ้าในประเทศไทย นั่นคือ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.
ใครกำหนดโครงสร้างค่าไฟฟ้า
เริ่มต้นที่การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ซึ่งสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำนโยบายโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เห็นชอบนโยบายโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าเพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.)
ภายหลังที่ ครม. เห็นชอบนโยบายโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้าแล้ว คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานจะกำหนดหลักเกณฑ์เพื่อประกาศใช้ และกำกับดูแลโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550
บทบาทหน้าที่ของ กกพ. ในการกำกับดูแลค่าไฟฟ้า
สำหรับหน้าที่ของ กกพ. ในการกำกับดูแลค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรม คือเป็นธรรมทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้า โดย กกพ. จะกำหนดและกำกับหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม มีความโปร่งใส พยายามที่จะดูรายละเอียด และปัจจัยทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับค่าไฟฟ้า
จากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก กกพ. ได้เข้ามากำกับดูแลให้ค่า Ft ปรับขึ้นน้อยที่สุด โดยในปี 2565 กกพ. ได้พิจารณานำเงินบริหารจัดการค่า Ft และเงินเรียกคืนฐานะการเงินจากการไฟฟ้าที่มีอยู่ทั้งหมดมาลดผลกระทบของการปรับค่า Ft งวดเดือนมกราคม-เมษายน 2565 กว่า 5,129 ล้านบาท และนำเงินผลประโยชน์ของบัญชีเงินที่จ่ายค่าก๊าซธรรมชาติล่วงหน้าตามปริมาณก๊าซตามสัญญาไปก่อน (Take or Pay) ของแหล่งก๊าซธรรมชาติเมียนมา จำนวนเงิน 13,511 ล้านบาท บรรเทาผลกระทบการปรับขึ้นค่า Ft
และให้มีการบริหารจัดการผลิตไฟฟ้าโดยใช้น้ำมันทดแทน Spot LNG ซึ่งมีราคาสูงเพื่อลดผลกระทบต่อราคาไฟฟ้าในภาพรวม
ยังมีมาตรการการบริหารจัดการต้นทุนเชื้อเพลิงให้ต่ำที่สุด โดยการรับซื้อไฟฟ้าพลังน้ำจาก สปป.ลาว โครงการโรงไฟฟ้าน้ำเทิน ก่อนวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ การรับซื้อไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเติมโดยกลุ่มโรงไฟฟ้าที่มีความพร้อมจ่ายไฟฟ้า การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา เพื่อทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ใช้ผลิตไฟฟ้าอยู่ในราคาที่เหมาะสม และมาตรการการบริหารการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตา ร่วมกับมาตรการการนำ Energy Pool Price มาใช้เพื่อเฉลี่ยต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้เกิดความเป็นธรรม สามารถทำให้ค่า Ft ลดลง
เป็นผลให้ค่า Ft ในปี 2565 ปรับขึ้นเพียง 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ทั้งนี้ กฟผ. ได้แบกรับค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงในช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดไว้ก่อน และจะทยอยเรียกคืนค่า Ft เมื่อราคาเชื้อเพลิงปรับตัวลดลง โดยเข้ามาแบกรับภาระค่า Ft แทนประชาชน แต่ในที่สุดก็ต้องทยอยจ่ายคืน กฟผ. เพราะหาก กฟผ. ขาดสภาพคล่องก็จะไม่มีเงินไปจ่ายค่าเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า ก็อาจจะส่งผลต่อความมั่นคงในการผลิตไฟฟ้า
ส่วนการบริหารจัดการค่า Ft ในงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ได้มีการวางแผนจัดสรรก๊าซร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยนำก๊าซจากอ่าวไทยหลังโรงแยกก๊าซเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยในอันดับแรก ในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน ซึ่งค่าไฟฟ้าบ้านที่เรียกเก็บต่ำกว่ากลุ่มอื่นๆ
เนื่องจากตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 43 (2) และมาตรา 57 (2) กำหนดไว้ว่า ทรัพยากรธรรมชาติของประเทศต้องจัดสรรแก่ประชาชนและชุมชนก่อน ดังนั้นราคาก๊าซในอ่าวไทยจึงต้องนำมาใช้คำนวณให้กลุ่มบ้านพักอาศัยก่อน เพื่อทำให้มีราคาค่าไฟฟ้าถูกกว่าภาคเอกชน
และ ปตท. ได้จัดสรรรายได้จากโรงแยกก๊าซ 4,300 ล้านบาท มาช่วยสนับสนุนค่า Ft ให้กับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาเดิม
รวมทั้งให้ ปตท. ร่วมกับ กฟผ. บริหารจัดการผลกระทบของราคาฯ ต่อค่าไฟฟ้า โดยให้ ปตท. คิดราคาก๊าซสำหรับโรงไฟฟ้า กฟผ. IPP และ SPP ในระดับราคาเดียวกัน และให้นำส่วนต่างของราคาก๊าซที่เกิดขึ้นจริงกับราคาก๊าซที่เรียกเก็บดังกล่าวไปทยอยเรียกเก็บคืนในการคำนวณค่า Ft รอบถัดไป
นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการใช้น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเพื่อทดแทนการนำเข้า LNG มีการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะ หน่วยที่ 4 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าเก่าและมีกำหนดปลดออกจากระบบไฟฟ้าในปี 2564 แต่ใช้ถ่านหินที่มีราคาถูกกว่าก๊าซเป็นเชื้อเพลิง เพื่อช่วยลดการนำเข้า LNG และปรับประมาณการราคา Spot LNG ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น
กกพ. กับการคุมค่า Ft ให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด
กกพ. ได้ดำเนินตามนโยบาย จนได้ข้อสรุปของการบริหารค่า Ft ที่งวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ให้เหมาะสม และมีผลกระทบต่อประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้าน้อยที่สุด
และหารือกับการไฟฟ้า เพื่อปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือน โดยตั้งแต่เดือน มกราคม 2566 เป็นต้นไป ผู้ใช้ไฟฟ้า 3 ประเภท จะได้รับการปรับลดอัตราค่าบริการรายเดือน ตามต้นทุนที่ลดลงของการไฟฟ้าฯ ดังนี้
-
ประเภทบ้านอยู่อาศัย
– ใช้มากกว่า 150 หน่วย
– เดิมอยู่ที่ 38.22 บาทต่อเดือน
– อัตราใหม่ลดลงอยู่ที่ 24.62 บาทต่อเดือน
ส่วนประเภทบ้านอยู่อาศัย แรงดันต่ำ อัตรา TOU
– เดิมอยู่ที่ 38.22 บาทต่อเดือน
– อัตราใหม่ลดลงอยู่ที่ 24.62 บาทต่อเดือน
-
กิจการขนาดเล็ก แรงดันต่ำ
– เดิมอยู่ที่ 46.16 บาทต่อเดือน
– อัตราใหม่ลดลงอยู่ที่ 33.29 บาทต่อเดือน
-
กิจการสูบน้ำเพื่อการเกษตร อัตรา TOU
– เดิมอยู่ที่ 228.17 บาทต่อเดือน
– อัตราใหม่ลดลงอยู่ที่ 204.07 บาทต่อเดือน
กกพ. กับความยั่งยืนในการกำกับค่าไฟฟ้าให้เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
กว่าจะได้ข้อสรุปค่า Ft ในงวดนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามบริหารจัดการจนทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากค่า Ft ที่เป็นการประมาณการล่วงหน้า 4 เดือน มีปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนและควบคุมไม่ได้จำนวนมาก ทั้งราคาน้ำมันและก๊าซ โดยเฉพาะราคา Spot LNG ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงวิกฤตการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน มีความผันผวนและไม่แน่นอนสูง
แม้ว่าจะมีข่าวดีว่าอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทของไทยต่อเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ทำให้ค่าซื้อเชื้อเพลิงถูกลง แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องที่จะนำมาคำนวณค่า Ft ให้สูงขึ้นได้อีก เช่น ราคา LNG อาจจะกลับมาสูงขึ้น แม้ว่าในช่วงนี้มีราคาลดลง เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่จบและอาจบานปลาย จนส่งผลต่อราคาพลังงานในตลาดโลก และการผลิตก๊าซจากอ่าวไทยซึ่งมีราคาถูกกว่า LNG จะเพิ่มขึ้นตามแผนหรือไม่ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยนและความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะสูงขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศหลังโควิดเริ่มคลี่คลายลง
สำหรับแนวทางการกำกับกิจการพลังงานของ กกพ. ในระยะต่อไป จะมุ่งสร้างกลไกเพื่อเพิ่มการแข่งขันในกิจการพลังงาน โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างกิจการก๊าซเพื่อรองรับการแข่งขัน ในขณะที่ต้องรักษาความมั่นคงด้านพลังงาน และส่งเสริมการใช้พลังงานสีเขียวในราคาที่รับได้
ในภาวะที่ปัจจัยต่างๆ ส่งผลต่อค่า Ft ให้สูงขึ้น ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า กกพ. จะทำหน้าที่ในการกำกับดูแลให้ดีที่สุด สร้างความโปร่งใส เป็นธรรมต่อทุกภาคส่วน และทุกคนที่เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าก็จำเป็นต้องช่วยกันประหยัดพลังงาน