×

Ellen DeGeneres ชีวิตอันกล้าหาญและพลังงานด้านบวกของผู้หญิงคนนี้

18.01.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins read
  • ในปี 1980 ตอนเอเลนอายุ 22 เธอก็ได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักและกลายเป็นรากฐานอาชีพการงานของทุกวันนี้ นั้นก็คือการเป็นเดี่ยวไมโครโฟนหรือที่เรียกกันว่า Stand-Up Comedian
  • ในซีซัน 4 ของซีรีส์ Ellen ในปี 1997 เอเลนประกาศว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนในตอน ‘The Puppy Episode’ ที่มีคนชมทางบ้านมากกว่า 42 ล้านคน ประโยค “Susan, I’m Gay” กลายเป็นจุดเปลี่ยนของวงการ เพราะเอเลนได้กลายเป็นนักแสดงนำซีรีส์ช่วง Primetime คนแรกที่มาจากกลุ่ม LGBTQ+ โดยกระแสในตอนนั้นถือว่าฮือฮาขั้นสุดขีด
  • ในปี 2003 เอเลนได้กลับมาบนจอทีวีอีกครั้งกับรายการทอล์กโชว์ยามบ่ายสุดฮิตชื่อ The Ellen DeGeneres Show ที่เธอผลิตและเป็นพิธีกรเอง ภายใต้การผลิตของ Warner Bros. Television
  • ไม่เพียงแต่รายการทอล์กโชว์ที่ได้ช่วยสร้างอาณาจักรของเอเลนที่ตอนนี้มีมูลค่าสูงถึง 360 ล้านเหรียญ แต่เอเลนยังมีโปรเจกต์อีกมากมาย ทั้ง พากย์เสียงการ์ตูน Finding Nemo เป็นพรีเซนเตอร์สินค้ามากมาย และเอเลนได้สร้างไลฟสไตล์แบรนด์เป็นของตัวเองชื่อ ED By Ellen

 

ไม่ว่าคุณจะล้มป่วย เป็นมะเร็ง อกหัก อยู่บ้านรีดผ้า อินเลิฟ โดนแกล้งที่โรงเรียน กำลังค้นหาตัวเอง หรือตกงาน การที่จะหาเวลาสัก 15 นาทีในชีวิต เปิดดูรายการ The Ellen Degeneres Show ที่บ้านหรือบนยูทูบใน 15 นาทีนั้นจะมีพลังบวกบางอย่างที่คุณจะได้จากการดูและฟัง จากการดำเนินรายการของผู้หญิงที่ชื่อ เอลเลน ดีเจนเนอเรส (Ellen DeGeneres) ที่เธอจะสร้างความสุข สร้างเสียงหัวเราะ และสร้างความฮึกเหิมที่ทำให้เห็นว่าแน่นอนชีวิตคนเราไม่ได้ง่าย เราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ที่จะอยู่บนพื้นฐานที่คิดดี ทำดีได้เสมอ

 

แต่ใครคือ เอลเลน ดีเจนเนอเรส? ใครคือสาวผมสั้นสีบลอนด์ที่ชอบใส่แจ็กเก็ตเบลเซอร์ กางเกงขายาว และรองเท้าผ้าใบ? THE STANDARD ขอย้อนกลับไปสู่ก้าวแรกของผู้หญิงคนนี้ที่อาจเป็นฮีโร่คนต่อไปของคุณ

 

เอเลน กับคุณพ่อเอลเลียต เอเวอร์เรตต์

 

“The Beginnings”

 

เอลเลน ดีเจนเนอเรส เกิดเมื่อวันที่ 26 มกราคม ปี 1958 ในย่านเมเทรี รัฐลุยเซียนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ในครอบครัวเธอมีคุณพ่อเอลเลียต เอเวอร์เรตต์ (Elliott Everett) เป็นคนขายประกัน ส่วนคุณแม่อลิซาเบธ เจน (Elizabeth Jane) เป็นนักแก้ไขการพูด (Speech Therapist) โดยเอเลนมีพี่ชายอีกหนึ่งคน วานซ์ ดีเจนเนอเรส (Vance DeGeneres) ที่เป็นโปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์และเคยเป็นผู้สื่อข่าวในรายการ The Daily Show with Jon Stewart ซึ่งในช่วงวัยเด็กทั้งคู่ถูกเลี้ยงดูตามหลักการศาสนา Christian Scientist ที่เชื่อเรื่องการไม่พึ่งหมอหรือทานยา แต่เอเลนก็ได้หยุดนับถือหลังจากที่พ่อแม่เลิกรากันตอนที่เธออายุ 13

 

หลังจากเอเลนจบมัธยมที่โรงเรียน Atlanta High School เธอได้ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย University of New Orleans แต่ก็ตัดสินใจลาออกหลังจากเรียนไปได้แค่หนึ่งเทอม ก่อนจะไปทำงานเป็นพนักงานธุรการในบริษัทกฎหมาย และยังเคยทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร คนทาสีบ้าน และบาร์เทนเดอร์อีกด้วย

 

ในปี 1980 ตอนที่อายุ 22 เธอได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองรักและกลายเป็นรากฐานอาชีพการงานของทุกวันนี้ นั่นก็คือการเป็นเดี่ยวไมโครโฟนหรือที่เรียกกันว่า Stand-Up Comedian ซึ่งในตอนนั้นเธอจะไปพูดตามคลับและร้านกาแฟ แต่ความแตกต่างของเธอคือการไม่เลือกล้อเลียนคนอื่นอย่างเสียๆ หายๆ หรือใช้คำหยาบคาย เพราะสำหรับเธอแล้ว นั่นก็คือการกลั่นแกล้งคนอื่น พอมาในปี 1982 ทางช่อง Showtime ก็ได้ยกย่องให้เธอเป็นบุคคลที่ตลกที่สุดประจำปีของอเมริกา และเธอก็ได้ไปเป็นแขกรับเชิญในรายการ The Tonight Show Starring Johnny Carson ที่เป็นอีกหนึ่งรายการสำคัญของอเมริกา ซึ่งช่วยเอเลนให้มีชื่อเสียงในกระแสหลักอย่างท่วมท้นและเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว

 

ซีรีส์ซิตคอม Ellen ตอน ‘The Puppy Episode’

 

“Susan, I’m Gay”

เข้ายุค 90s เอเลนก็ได้รับบทนำในซิตคอม Ellen ทางช่อง ABC ที่ฉายวันแรกเมื่อ 29 มีนาคม ปี 1994 ซึ่งตอนแรกซีรีส์นี้จะใช้ชื่อว่า These Friends of Mine แต่เปลี่ยนเพราะกลัวว่าผู้ชมจะสับสนกับเรื่อง Friends ซีรีส์ Ellen ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งเชิงเรตติ้งและได้รับรางวัลมากมาย และพอมาซีซัน 4 ในปี 1997 ประวัติศาสตร์ก็ได้เกิดขึ้นในแวดวงทีวีของอเมริกา เมื่อเอเลนประกาศว่าเธอเป็นเลสเบียนในตอน ‘The Puppy Episode’ ที่มีคนชมทางบ้านมากกว่า 42 ล้านคน

 

ประโยค “Susan,I’m Gay” ที่เธอพูดกับตัวละคร Susan ที่แสดงโดย ลอร่า เดิร์น (Laura Dern) กลายเป็นจุดเปลี่ยนของวงการ เพราะเอเลนได้กลายเป็นนักแสดงนำซีรีส์ช่วง Primetime คนแรกที่มาจากกลุ่ม LGBTQ+ โดยกระแสในตอนนั้นถือว่าฮือฮาขั้นสุดขีด จนเธอได้ขึ้นปกนิตยสาร TIME และไปสัมภาษณ์ในรายการ The Oprah Winfrey Show แต่เพราะความยอมรับในกลุ่ม LGBTQ+ ในกลุ่มกระแสหลักในช่วงนั้นยังถือว่ายังน้อย เอเลนจึงโดนโจมตีอย่างหนักหน่วงจนรถยนต์ Chrysler ได้ตัดสินใจตัดโฆษณาออกจากซีรีส์ทั้งหมด ส่วนบางรัฐในอเมริกาก็ขอแบนไม่ฉายซีรีส์เรื่องนี้ ซึ่งต่อมาก็ส่งผลให้ซีรีส์ Ellen โดนยกเลิกไปในปี 1998

 

หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องโดนโจมตีขนาดนี้ แต่ต้องเข้าใจว่าบริบทสังคมในขณะนั้น เรายังไม่ได้มีซีรีส์ Will & Grace, RuPaul Drag Race, Sex and The City หรือ Queer As Folk ที่เป็นกระจกสะท้อนไลฟสไตล์กลุ่ม LGBTQ+ และจุดยืนของคนกลุ่มนี้ ซึ่งการที่เอเลนยอมเสี่ยง เสียสละ และมาประกาศรสนิยมของตัวเองก็เหมือนเป็นการช่วยทลายกำแพงที่ถูกสร้างไว้ในวงการบันเทิงต่อการยอมรับของกลุ่มรักเพศเดียวกัน

 

รายการ The Ellen DeGeneres Show

 

“Brand New Day”

ในปี 2003 เอเลนได้กลับมาบนจอทีวีอีกครั้งอย่างเต็มภาคภูมิกับรายการทอล์กโชว์ยามบ่ายสุดฮิตชื่อ The Ellen DeGeneres Show ที่เธอเป็นพิธีกรเอง ภายใต้การผลิตของ Warner Bros. Television เสน่ห์ของรายการคือฟอร์แมตที่เริ่มจากบทพูดคนเดียว Monologue, ต่อด้วยการเต้นกับคนในห้องส่ง, สัมภาษณ์ดาราแขกรับเชิญ, เล่นเกม, มีการแสดงของศิลปินชื่อดัง และปิดท้ายโชว์ทุกวันด้วยประโยคแง่บวก “Be kind to one another” ที่แปลว่า อยากให้คนเราดีต่อกันและกัน

 

มากไปกว่านั้น เอเลนยังมีการเซอร์ไพรส์และเชิญคนธรรมดามาเป็นแขกรับเชิญอยู่เป็นประจำ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมักจะเป็นคนที่กำลังประสบปัญหาชีวิตต่างๆ หรือได้ทำเรื่องดีๆ ในสังคมที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของผู้ชมได้ โดยตั้งแต่เริ่มรายการเอเลนได้บริจาคเงินไปแล้วมากกว่า 50 ล้านเหรียญ ซึ่ง 12.5 ล้านเหรียญสมทบผู้ป่วยมะเร็งเต้านม, 10 ล้านเหรียญสมทบผู้ประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา และอีก 21 ล้านเหรียญได้มอบให้กับคนที่มาแชร์ประสบการณ์ในรายการ

 

ทุกวันนี้ The Ellen Degeneres Show ฉายมาแล้วมากกว่า 2,500 ตอน ตลอด 15 ซีซัน, ชนะรางวัล Daytime Emmy 59 ครั้ง, มีคน Subscribe ช่องในยูทูบกว่า 22.5 ล้านแอ็กเคานต์ และทางช่อง NBC ก็มีการต่อสัญญาถึงปี 2020 แถมยังสร้างรายการเกมโชว์ใหม่ตามชื่อของเธอ Ellen’s Game of Games ที่เริ่มฉายตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา

 

โฆษณา ED Ellen DeGeneres

 

โฆษณา American Express

 

“The Empire”

ไม่เพียงแต่รายการ The Ellen Degeneres Show จะช่วยสร้างอาณาจักรของเอเลนที่ตอนนี้มีมูลค่าสูงถึง 360 ล้านเหรียญ แต่เอเลนยังมีโปรเจกต์อีกมากมาย เริ่มจากการเป็นนักแสดงพากย์เสียงตัวละคร Dory ในการ์ตูน Finding Nemo และ Finding Dory ของค่ายพิกซาร์ ส่วนการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้า เอเลนก็มีทั้งบัตรเครดิต American Express ที่เล่นโฆษณากับนักร้องสาวบียอนเซ่, แบรนด์เครื่องสำอาง Cover Girl และห้าง JC Penney ที่ในตอนแรกมีการโจมตีจากกลุ่ม ‘One Million Moms’ ว่าเธอไม่เหมาะสมในการเป็นโฆษกเพราะเป็นเลสเบียน แต่ตอนหลังห้างก็ยังสนับสนุนเธอและก็มีเพจเฟซบุ๊กชื่อ ‘1 Million People Who Support Ellen for JC Penney’ ตั้งขึ้นมา ซึ่งมีคนกดไลก์มากกว่าล้านคน และมากกว่าเพจ One Million Moms ด้วยซ้ำ

 

ล่าสุดในปี 2015 เอเลนได้สร้างไลฟ์สไตล์แบรนด์ของตัวเองชื่อ ED Ellen DeGeneres ที่ทำร่วมกับ J. Christopher Burch ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ Tory Burch ซึ่งในแบรนด์ ED Ellen DeGeneres จะครอบคลุมสินค้า อาทิ เสื้อผ้าเด็ก รองเท้า เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง และของแต่งบ้าน การสร้างแบรนด์นี้ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่ฉลาดเพราะมาในดีไซน์ที่มีเสน่ห์ เข้าถึงหลากหลายไลฟสไตล์ และเอเลนก็สามารถสวมใส่ในรายการ The Ellen DeGeneres Show เพื่อโปรโมตสินค้าต่างๆอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับที่เธอแจกกางเกงในให้กับดาราจนกลายเป็นไอเท็มสุดฮิตและมีการขายออนไลน์ให้คนได้สั่งซื้อ

 

เอเลน กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา ในพีธีรับเหรียญ Presidential Medal of Freedom ปี 2016

 

“The Legacy”

 

เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2016 เอเลนได้รับเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากประธานาธิบดีบารัก โอบามา ที่ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในรางวัลเกียรติยศสูงสุดของคนอเมริกา บารัก โอบามา ได้กล่าวก่อนที่จะให้รางวัลว่า “แม้ประเทศอเมริกาจะเดินไปสู่จุดที่คนรักร่วมเพศสามารถแต่งงานกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่เกือบ 20 ปีก่อนหน้านั้น การที่เอเลนออกมาเผยสถานะตัวเองต่อสาธารณชนก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความกล้าหาญ สิ่งที่เอเลนทำไม่ได้มีความสำคัญแค่ต่อกลุ่ม LGBT เพียงอย่างเดียว แต่สำคัญสำหรับเราทุกคน เราได้เห็นบุคคลหนึ่งที่เปี่ยมไปด้วยความดีงามและแสงสว่าง และเปรียบเสมือนเพื่อนข้างบ้านหรือพี่สาวก็ว่าได้ เตือนสติคนเราให้เห็นว่ามนุษย์เราทุกคนก็เหมือนกันทั้งนั้น และเราควรเดินหน้าและผลักดันประเทศเพื่อได้ความเท่าเทียม”

 

พอมาถึงช่วงสุดท้ายของบทความนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่านี่คือความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนหนึ่งในประเทศที่เราต้องนั่งเครื่องบินยี่สิบกว่าชั่วโมง ไม่ได้มีความสำคัญต่อคนไทย และวัฒนธรรมของเรา แต่เรากลับมองว่าในช่วงเวลาที่ภาวะสังคมกำลังบีบคั้นให้คนเรา โดยเฉพาะเยาวชน ต้องมี ‘ตัวตน’ อยู่ในกรอบที่ถูกตีค่าว่า ‘คูล’ หรือ ‘เปรี้ยว’ หรือ ‘ปัง’ สิ่งที่เอเลนทำให้เห็นคือความสำเร็จในชีวิตคนเรา จริงๆ แล้วจะเกิดขึ้นเมื่อเรากล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง คิดค้นหลักสูตรที่ไม่ต้องตามแบบใคร และใช้ชีวิตที่ไม่ต้องเหยียบย่ำคนอื่น พร้อมส่งความสุขอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นแค่อิโมติคอนรูปยิ้มก็ตามแต่

“Follow your passion. Stay true to yourself. Never follow someone else’s path unless you’re in the woods and you’re lost and you see a path. By all means, you should follow that.”-Ellen DeGeneres

🙂

 

 

อ้างอิง:

FYI

 

 

เอเลนได้แต่งงานกับ พอร์เทีย เดอ รอสซี (Portia de Rossi) นักแสดงสาวชาวออสเตรเลีย ในปี 2008 โดยทั้งคู่เป็นมังสวิรัติและรักสัตว์เป็นอย่างมาก

 

เอเลนเป็นเกย์คนแรก และผู้หญิงคนที่สองถัดจาก วูปี โกลด์เบิร์ก (Whoopi Goldberg) ที่ได้เป็นพิธีกรงานประกาศออสการ์ ซึ่งในปี 2014 เธอได้ถ่ายรูปเซลฟีกับ เมอรีล สตรีป (Meryl Streep), เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ (Jennifer Lawrence), แบรดลีย์ คูเปอร์ (Bradley Cooper), แบรด พิตต์ (Brad Pitt) และดาราอีกหลายคน ซึ่งภาพถูกรีทวีตมากกว่า 2.8 ล้านครั้งใน 24 ชั่วโมงแรกหลังถูกโพสต์

 

เอเลนเคยเป็นกรรมการในรายการ American Idol ในปี 2010 และเธอมีค่ายเพลงเป็นของตัวเองชื่อ eleveneleven

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X