เป็นที่รู้กันดีว่าเกม ‘เอลกลาซิโก’ นั้นเป็นมากกว่าแค่เกมฟุตบอลธรรมดาๆ
การพบกันระหว่างบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด มีเรื่องของการเมือง ความรุนแรง ความอยุติธรรม การเรียกร้องเสรีภาพ เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของชาวคาตาลันกับรัฐบาลสเปนมายาวนาน
นั่นทำให้เราได้เห็นอะไรมากมายที่เกิดขึ้นนับจากการพบกันครั้งแรกของสองสโมสรในเดือนพฤษภาคม 1902 ไม่ว่าจะเป็นตำรวจลงไปในสนาม ทหารอยู่ในห้องแต่งตัว ขวดน้ำที่ลอยมาเหมือนสายฝน คนแก้ผ้า คนประท้วงด้วยการมัดตัวเองกับเสาประตู การเรียกร้องทางการเมืองและการเลื่อนการแข่งขัน คาร์บอมบ์ ดวงตาที่ปูดบวม แข้งขาที่หัก
และหัวหมูที่ถูกโยนลงมาในสนามในวันที่ หลุยส์ ฟิโก้ กลับมาเยือนคัมป์นู ในฐานะนักเตะของเรอัล มาดริด
118 ปีกับอีก 244 เกม ซึ่งต่างฝ่ายต่างคว้าชัยชนะเท่ากันที่ 96 นัด และมีประตูเกิดขึ้นถึง 204 ประตู
อย่างไรก็ตาม เอลกลาซิโกในค่ำคืนนี้จะเป็นอะไรที่แตกต่างจากทุกนัดที่ผ่านมา เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกที่บาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด จะได้ลงห้ำหั่นกันโดยไม่มีผู้ชมในสนามแม้แต่คนเดียว
จากเกมแรกที่พวกเขาพบกัน วันนั้นเรอัล มาดริดต้องขอยืมเก้าอี้จากตลาด Rastro มาเพื่อให้ผู้ชมได้นั่งชมเกม วันนี้คัมป์นูที่มีความจุกว่า 98,000 ที่นั่งจะว่างโล่ง ไม่มีแฟนบอลได้ชมข้างในสนามแม้แต่คนเดียว โดยจะมีคนอยู่ในชามอ่างยักษ์เพียงแค่ 240 คน และในจำนวนนี้รวมนักฟุตบอลของแต่ละทีมแล้วด้วย
เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเหนือจินตนาการที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้นกับสุดยอดเกมลูกหนังของโลกที่แม้จะขึ้นชื่อลือชาในเรื่องของความเป็นศัตรูตลอดกาล แต่ในอีกทางหนึ่งแล้ว เอลกลาซิโกคือสุดยอดเกมการแข่งขันฟุตบอลที่เราจะได้เห็นลีลาการเล่นของเหล่าสุดยอดนักเตะที่เก่งที่สุดของโลกลงสนามด้วย
เพียงแต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าการพบกันครั้งนี้ของบาร์เซโลนาและเรอัล มาดริด นั้นจะเป็นไปอย่างที่เราคุ้นเคยกัน
เพราะสภาพทีมของทั้งคู่นั้นเริ่มแสดงให้เห็นถึงความตกตำ่มาสักพักใหญ่ เหล่าดวงดาวที่เราเคยเห็นพร่างพราวในสนามค่อยๆ ดับหรือลบเลือนหายไป
บาร์เซโลนา อย่างที่รู้ว่าอยู่ในภาวะใกล้ล่มสลาย พวกเขาประสบปัญหาในการบริหารจัดการสโมสรอย่างหนักจนภาวะทางการเงินของทีมที่ขึ้นชื่อว่ารวยที่สุดทีมหนึ่งของโลกเข้าใกล้ภาวะล้มละลาย
การซื้อนักเตะที่ผิดพลาดด้วยค่าตัวและค่าเหนื่อยมหาศาลทำให้พวกเขาตกที่นั่งลำบาก และการบริหารที่ย่ำแย่ของบอร์ดที่นำโดยประธานสโมสรคนปัจจุบัน โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ยังสร้างความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับ ลิโอเนล เมสซี นักเตะที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรด้วย จนถึงขั้นประกาศจะย้ายออกจากทีมที่อยู่มาตลอดชีวิต
บุญรักษาสำหรับบาร์ซาที่เมสซีไม่ต้องการจะทำร้ายสโมสรที่ย่ำแย่อยู่แล้วเข้าไปอีก จึงกัดฟันยอมอยู่จนครบสัญญาที่เหลืออีกหนึ่งฤดูกาล ทำให้บาร์ซาได้มีโอกาสในการตั้งหลักใหม่อีกครั้งภายใต้การนำของ โรนัลด์ คูมัน โค้ชชาวดัตช์ที่เข้ามารับงานกอบกู้สโมสร
‘อาซูลกรานา’ จึงอยู่ในระหว่างการสร้างทีมใหม่โดยอาศัยนักเตะชุดเดิมที่มีหรือที่ซื้อตัวมาแล้วเป็นหลัก แต่แกนของสโมสรยังคงเป็น เคราร์ด ปิเก้, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ และเมสซี ที่ช่วยประคองสายเลือดใหม่อย่าง อันซู ฟาตี, เปดรี รวมถึง ฟรานซิสโก ตรินเกา
3 นักเตะแห่งความล้มเหลวอย่าง อุสมาน เดมเบเล, ฟิลิปป์ คูตินโญ และอองตวน กรีซมันน์ ยังอยู่ในระหว่างการเรียกตัวตนกลับมา
ทั้งนี้แม้จะเหมือนดีขึ้น แต่การพ่ายแพ้ต่อเคตาเฟเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก็เป็นสัญญาณเตือนว่าบาร์ซาวันนี้ยังเหมือนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นจากอาการโคม่า และชัยชนะเหนือเฟเรนซ์วารอส อดีตยักษ์ใหญ่ของฮังการี 5-1 ในเกมแชมเปียนส์ลีกกลางสัปดาห์ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะดีตามสกอร์ที่ปรากฏ
El Mundo Deportivo กล่าวถึงเกมนี้ว่า “5 ประตูเพื่อความเชื่อ”
แต่สถานการณ์ของบาร์ซายามนี้ยังดีกว่าเรอัล มาดริดที่อาการหนักไม่แพ้กัน และเริ่มมีกระแสข่าวว่าฝ่ายบริหารของสโมสรกำลังพิจารณาในการปลด ซีเนดีน ซีดาน พ้นจากตำแหน่ง ทั้งๆ ที่ ‘ซิซู’ เพิ่งจะสามารถพาทีมคว้าแชมป์ลาลีกามาครองได้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว
สาเหตุมาจากฟอร์มย่ำแย่ของมาดริด พวกเขาแพ้ต่อกาดิซเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมาพ่ายต่อชัคตาร์ โดเนตส์ค คาบ้านในรายการแชมเปียนส์ลีกอีก ทั้งๆ ที่ทีมจากยูเครนขาดผู้เล่นตัวหลักถึง 13 คนเพราะโควิด-19!
นั่นเป็นผลการแข่งขันและอาการของผู้เล่นในสนามที่คาเซมิโร กองกลางฮาร์ดแมนชาวบราซิลบอกว่าเป็นทัศนคติที่ไม่สามารถยอมรับได้ ทำให้หลายคนจับตาพวกเขามากขึ้น
เพียงแต่สำหรับซีดานซึ่งมีข่าวว่าอาจถูกแทนที่ด้วย เมาริซิโอ โปเชตติโน ยังมั่นใจในตัวเอง “ฟ้าอาจสีเทาในวันนี้ แต่วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ก็จะขึ้นอีกครั้ง”
“ผมมั่นใจว่าจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ และนั่นคือสิ่งที่ผมจะทำ”
ข่าวดีสำหรับซีดานคือ เซร์คิโอ รามอส กัปตันทีมที่หายไปนานจะกลับมาในเกมนี้
เกมเอลกลาซิโกที่แสนประหลาดที่สุดในความทรงจำ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ลิโอเนล เมสซี ไม่ได้ทำประตูในเกมเอลกลาซิโกมายาวนานกว่า 900 วันแล้ว นับตั้งแต่ครั้งสุดท้ายในวันที่ 6 พฤษภาคม 2018
- หากได้ลงสนาม แบ็กจอมบุก เซร์จินโย เดสต์ จะกลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ในฐานะนักเตะอเมริกันคนแรกที่ได้เล่นในเกมเอลกลาซิโก
- ก่อนเกมนี้จะเริ่ม บริษัท Comunicar es Ganar ได้ทำการวิเคราะห์น้ำเสียงและภาษากายของคูมันกับซีดาน ซึ่งปรากฏว่าซีดานจะเป็นคนที่พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ค่อยพูดถึงอะไรฮือฮา และไม่สร้างความกดดันให้ผู้เล่นของตัวเอง ขณะที่กุนซือชาวดัตช์จะเคร่งขรึม จริงจัง และเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา