EIC มูลค่าการส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน 2022 อยู่ที่ 26,533 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 11.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน (YoY) เร่งขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ 10.5% และนับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 16 หากหักทองคำการส่งออกในเดือนนี้จะขยายตัวได้ 11.5% ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 12.5%
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาการส่งออกเดือนมิถุนายนเทียบกับเดือนพฤษภาคมแบบปรับฤดูกาลจะพบว่าการส่งออกของไทยขยายตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.3% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) แต่หากไม่รวมทองคำจะทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า ในภาพรวมส่งออกไทยในครึ่งแรกของปี 2022 ขยายตัวได้ดีที่ 12.7% และหากหักทองคำขยายตัวที่ 10.5%
สินค้าเกษตรยังขยายตัวดีต่อเนื่องและคอมพิวเตอร์กลับมาขยายตัวอีกครั้งในรอบ 4 เดือน
ในภาพรวมการส่งออกรายสินค้าพบว่าแม้ส่วนใหญ่ยังขยายตัวได้ แต่มีบางหมวดสำคัญที่หดตัวหรือชะลอตัวลง โดย
- สินค้าเกษตรขยายตัวได้ดีต่อเนื่องที่ 21.7% เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ 21.5% โดยได้รับอานิสงส์ทั้งด้านปริมาณผลผลิตในไทยที่ดีตามปริมาณน้ำฝนและน้ำในเขื่อนที่เพียงพอและการสนับสนุนจากภาครัฐ และด้านราคาจากการชะงักของอุปทานสินค้าเกษตรในตลาดโลกจากสงครามในยูเครน และมาตรการห้ามการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารในบางประเทศ โดยสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ข้าว และยางพารา
- สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวได้ดีที่ 28.3% ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้าที่ 32.7% โดยสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญในเดือนนี้ ได้แก่ ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ น้ำตาลทราย อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ไก่แปรรูป และอาหารสัตว์เลี้ยง
- สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 6.7% เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 4.2% โดยมีสินค้าที่เป็นปัจจัยหนุนสำคัญ ได้แก่ สินค้ากลุ่มอากาศยานและทองคำ ซึ่งไม่ได้สะท้อนภาพการส่งออกที่แท้จริง ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียม เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ที่กลับมาขยายตัวถึง 19.1% และเป็นการกลับมาขยายตัวได้ครั้งแรกในรอบ 3 เดือน สะท้อนถึงปัญหาขาดแคลนชิปที่ยังยืดเยื้อเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี รถยนต์และส่วนประกอบยังคงเป็นสินค้าฉุดการส่งออกของไทย จากอุปสงค์โดยรวมของโลกที่ชะลอตัวจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
- สินค้าแร่และเชื้อเพลิงที่ยังขยายตัวได้ดีที่ 73.7% เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 65.3% ทั้งนี้ การส่งออกเชื้อเพลิงของไทยอาจชะลอตัวลงในเดือนถัดไปจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลงตามความกังวลว่าเศรษฐกิจในประเทศสำคัญหลายประเทศจะเข้าสู่ภาวะถดถอย
ส่งออกรายตลาดกระจุกตัวในอาเซียนและอินเดีย หลายตลาดสำคัญเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว
ด้านการส่งออกรายตลาดพบว่าการส่งออกไปอาเซียนและอินเดียเป็นตลาดหนุนสำคัญ โดยขยายตัวได้สูงที่สุดในรอบ 6 และ 12 เดือน ถึง 35.6% และ 77.7% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกไปยัง สปป.ลาวและเมียนมา ยังคงขยายตัวได้ดีในเดือนมิถุนายน ที่ 10% และ 15.4% ตามลำดับ จากเดือนก่อนหน้าที่ 29.8% และ 12%
โดย EIC คาดว่าปัญหาการขาดแคลนเงินทุนสำรองระหว่างประเทศใน สปป.ลาวและเมียนมา จะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยอย่างจำกัด เนื่องจากการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก ยังได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่ฟื้นตัว
นอกจากนี้การค้าชายแดนบางส่วนจะใช้เงินบาทในการชำระและมีการทำข้อตกลงจ่ายเงินล่วงหน้าไว้แล้ว ซึ่งจะลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว
ทั้งนี้ ความเสี่ยงต่อการส่งออกไทยจะมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ สปป.ลาวและเมียนมา และมาตรการห้ามนำเข้าสินค้า เช่น รถยนต์ในเมียนมา ซึ่งจะเป็นความเสี่ยงต่อการส่งออกไทยในระยะต่อไป
ในขณะที่การส่งออกไปจีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง เป็นตลาดฉุดสำคัญ โดยเฉพาะมูลค่าการส่งออกไปจีนในเดือนนี้กลับมาหดตัวอีกครั้งที่ -2.7% หลังจากกลับมาขยายตัวได้ 3.8% ในเดือนก่อนหน้า และหดตัว -7.3% ในเดือนเมษายน สะท้อนถึงความกังวลของเศรษฐกิจที่ยังซบเซาโดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์และความเสี่ยงในการปิดเมืองอีกครั้ง รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจทำให้การนำเข้าวัตถุดิบการผลิตของจีนชะลอตัวลง
ทั้งนี้ ในระยะถัดไปหากพิจารณาถึงระดับราคาสินค้าที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปริมาณนำเข้าโดยรวมของจีนและปริมาณการส่งออกของไทยไปจีนอาจลดลง สอดคล้องกับการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 14 เดือน จากความกังวลของความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น และการส่งออกไปยุโรป (EU28) ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามโดยตรงจากอุปทานด้านพลังงานและเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย ในเดือนนี้ขยายตัวได้ 5.8% ชะลอตัวจาก 7.7% ในเดือนก่อนหน้า การส่งออกไปรัสเซียและยูเครนยังคงหดตัวต่อเนื่องในระดับสูงที่ 52.7% และ 86.3% แต่ไม่ได้มีนัยต่อเศรษฐกิจไทยมากเนื่องจากเป็นตลาดส่งออกขนาดเล็กของไทย
มูลค่าการนำเข้าขยายตัวมากกว่าการส่งออก ส่งผลให้ดุลการค้าขาดดุล
ด้านมูลค่านำเข้าในเดือนมิถุนายนขยายตัว 24.5% เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 24.2% จากราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากสงครามในยูเครน การขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ และความต้องการผลิตเพื่อการส่งออก โดยในเดือนนี้สินค้าเชื้อเพลิงขยายตัว 124.8% สินค้าทุนขยายตัว 8.7% สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปขยายตัว 11.6% สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัว 6.7% ในขณะที่สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่งหดตัว -18.5% ในด้านดุลการค้าเดือนนี้ขาดดุล -1,529.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 21% และมีดุลการค้าขาดดุล -6,255.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในระยะถัดไปคาดดุลการค้าจะขาดดุลลดลงจากราคาพลังงานที่มีแนวโน้มลดลงในช่วงท้ายปี
ส่งออกระยะถัดไปมีความเสี่ยงมากขึ้นจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ส่งออกไทยขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี และคาดว่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีจากอานิสงส์เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่า ทำให้หลายกลุ่มสินค้าได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาปัจจัยการผลิตนำเข้าน้อยและพึ่งพาตลาดต่างประเทศสูง
แต่หากพิจารณาถึงองค์ประกอบของการขยายตัวในช่วงที่ผ่านมาพบว่าการขยายตัวมาจากปัจจัยด้านราคามากขึ้น จากการขาดแคลนสินค้าเกษตรในตลาดโลก และระดับราคาสินค้าส่งออกที่อยู่ในระดับสูง โดยในระยะถัดไปที่ภาวะเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงชะลอตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Global Manufacturing PMI) ที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 22 เดือน และดัชนีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ (Export Orders) ที่อยู่ในระดับหดตัวติดต่อกัน 4 เดือน
ในช่วงครึ่งปีหลัง EIC คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงโดยเฉพาะจากด้านปริมาณ ตามกำลังซื้อของประเทศผู้นำเข้า ทั้งจากปัจจัยเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ธนาคารกลางในหลายประเทศจำเป็นต้องนำเอามาตรการการเงินที่ตึงตัวมาใช้เร็วและแรงมากขึ้น ตลาดจีนที่ยังมีความเสี่ยงจากการนำมาตรการควบคุมโรคที่เข้มข้นมาใช้ใหม่และจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจในประเทศ ตลาดยุโรปที่มีความเสี่ยงจากภาวะสงคราม ตลาด สปป.ลาวและเมียนมาที่มีความเสี่ยงด้านเสถียรภาพภายในประเทศ ความผันผวนในตลาดการเงินของศรีลังกาและปากีสถานที่อาจกระทบต่อไปยังประเทศกำลังพัฒนาอื่น รวมถึงปัญหาการชะงักของอุปทานที่ยังคงมีอยู่และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปจนถึงปี 2023 กระทบต่อไปยังสินค้าขั้นปลายต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์ แม้แรงกดดันด้านราคาเซมิคอนดักเตอร์และราคาวัตถุดิบต่างๆ จะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้นก็ตาม
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP