สำหรับนักฟุตบอลทุกคน นี่คือภาพของความฝันที่เป็นความจริง
กับการได้สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์เดินลงสู่สนามขนาดยักษ์ที่จุผู้ชมได้เกือบแสนคน เพื่อจะได้ยินเสียงโห่ร้องก้องกังวานของเหล่าผู้คนที่รีบร้อนเดินทางมาเพื่อต้อนรับนักฟุตบอลขวัญใจคนใหม่ของพวกเขา ได้สัมผัสถึงพลังของความหวังของผู้คนหลายหมื่นคน
แต่ไม่ใช่นักฟุตบอลทุกคนที่จะมีผู้คนมาให้การต้อนรับมากถึงระดับ 50,000 คน มันเป็นสิทธิพิเศษที่ถูกสงวนเอาไว้ให้เฉพาะเหล่าสุดยอดนักเตะของโลกที่ตัดสินใจที่จะมาผจญภัยกับทีม ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ในฐานะกาลาคติโก หรืออัศวินแห่งดวงดาวของสโมสรเท่านั้น
สำหรับ เอเดน อาซาร์ มันคือช่วงวินาทีที่เขารู้ตัวว่าความฝันของเขาได้เป็นจริงแล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครจะพรากมันไปจากเขาได้ตลอดชีวิต
‘อาซาร์’ ครอบครัวนักเตะตัวจริง
“ผมฝันถึงช่วงเวลาแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ในวันที่ผมได้เรียนรู้การเล่นฟุตบอลในสวนกับธอร์เกน, คีเลียน และอีธาน”
สำหรับ เอเดน อาซาร์ ช่วงเวลานั้นเป็นวันเวลาของความสุขและความทรงจำที่ดี เป็นต้นทุนสำคัญที่ทำให้เขาก้าวมาถึงทุกวันนี้ได้
ความจริงแล้วเขาไม่ใช่คนเดียวในครอบครัวที่เล่นฟุตบอล เพราะสายเลือดอาซาร์ ไม่มีใครที่ไม่เล่นฟุตบอล
เธียร์รี พ่อของเขาเป็นอดีตนักเตะสมัครเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่เล่นให้กับลูวิแยร์ สโมสรท้องถิ่นในระดับดิวิชัน 3 ของเบลเยียม ขณะที่แม่ของเขา คารีน เป็นกองหน้าที่เก่งกาจ เก่งในระดับเป็นดาวเด่นของทีมที่เล่นเพื่อลุ้นแชมป์ในเบลเยียม
แต่คารีนต้องหยุดเส้นทางอาชีพของเธอเอาไว้ชั่วคราว เมื่อรู้ว่าในตัวเธอไม่ได้มีเพียงชีวิตเดียว แต่ยังมีอีกหนึ่งชีวิตร่วมอยู่ด้วย
“ผมอยู่ในท้องแม่ตอนที่เธอยังเล่นฟุตบอลอยู่ เธอท้องได้ 3 เดือน ผมก็เลยเป็นนักฟุตบอลแทนแม่ แม่ของผมเป็นกองหน้า ผมเองก็ไม่เคยเห็นแม่เล่น แต่ผมจำได้ว่าผมเคยได้เห็นพ่อเล่น ส่วนพ่อของผมเล่นในแนวรับ เขาเป็นคนสบายๆ ที่เล่นได้นิ่ง บางทีผมก็คิดว่าผมคงเป็นส่วนผสมของทั้งพ่อและแม่”
ด้วยความที่บ้านของอาซาร์ในเมืองลูวิแยร์อยู่ติดกับสนามฟุตบอล ห่างกันออกไปเพียงแค่ 5 เมตร มีเพียงแค่รั้วที่กั้นกลางเท่านั้น ทำให้ทุกคนในบ้านมีเวลาให้กับการเล่นฟุตบอลอยู่เสมอ
ถัดจากเอเดน คือธอร์เกน น้องชายคนรอง ซึ่งปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ในบุนเดสลีกา และเพิ่งเซ็นสัญญาย้ายจากโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ไปอยู่กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
ต่อจากธอร์เกนคือ คีเลียน อาซาร์ ที่ปัจจุบันเล่นอยู่กับเซอร์เคิล บรูกก์ ในเบลเยียม และคนสุดท้องคือ อีธาน หนุ่มน้อยวัย 16 ปี ที่กำลังเล่นในระดับเยาวชนให้กับสโมสร เอเอฟซี ตูบิซ ในเบลเยียม ซึ่งเป็นสโมสรที่พี่ใหญ่ เอเดน เคยเล่นเหมือนกัน
ครั้งหนึ่ง เอเดน อาซาร์ เคยให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า ถ้าให้จัดทีมเล่นแบบข้างละ 5 คน ทีมครอบครัวอาซาร์น่าจะเล่นได้อย่างสบายๆ เพราะพ่อของเขาก็ยังเล่นได้อยู่ ส่วนแม่ของเขาถึงจะลงสนามไม่ไหว แต่ก็ยังเป็นผู้จัดการทีมได้
จากเด็กขี้อายสู่ลูกผู้ชายตัวจริง
สำหรับคนที่ใกล้ชิดจะรู้ว่า เอเดน อาซาร์ เป็นคนขี้อายตั้งแต่เด็ก แต่เป็นคนที่พูดน้อยต่อยหนัก
จากการเตะบอลเล่นในสวนข้างบ้าน เอเดนก้าวไปสู่การเล่นในทีมเยาวชนท้องถิ่นในบ้านเกิดกับสโมสรรอยัล สตาด บรานัวส์ตั้งแต่ 4 ขวบ ซึ่งแม้จะวัยเท่านั้น แต่เขาก็ฉายแววความโดดเด่นเป็นนักฟุตบอลพรสวรรค์ที่โค้ชยอมรับว่า “ไม่มีอะไรให้สอน เพราะเขารู้วิธีการเล่นทุกอย่างหมดแล้ว”
8 ปีในรอยัล สตาด บรานัวส์ สู่เอเอฟซี ตูบิซ ซึ่งในระยะเวลาไม่นาน ความโดดเด่นของเขาเข้าตาแมวมองจากลีลล์ สโมสรระดับชั้นนำของฝรั่งเศส ที่มาจับตามองหาเพชรเม็ดงามในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ท้องถิ่น
รายงานจากแมวมองส่งตรงถึงสโมสร และสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือ การติดต่อกับเธียร์รี เพื่อขอตัวลูกชายให้ไปเล่นในฝรั่งเศส ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนัก ยังพอที่จะเดินทางไปมาหาสู่ได้ และสภาพแวดล้อมทางลูกหนังที่ดีกว่า พร้อมกว่า น่าจะช่วยส่งเสริมให้เอเดนพัฒนาการเล่นได้อีก
การตัดสินใจครั้งนี้กลายเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของเธียร์รี เพราะที่ลีลล์ เอเดนถูกเจียระไนอย่างดีจนเริ่มเปล่งประกาย และกลายเป็นที่พูดถึงในโลกลูกหนัง ว่าเราได้ค้นพบนักเตะอัจฉริยะที่อาจจะเติบโตและมาแทนที่ของ ซีเนดีน ซีดาน ยอดเพลย์เมกเกอร์อันดับหนึ่ง
จากจุดสตาร์ทกับลีลล์ ในเกมลีกเอิงกับน็องซีเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2007 เอเดน อาซาร์ ค่อยๆ โดดเด่นขึ้นเรื่อยๆ ก้าวมาเป็นส่วนหนึ่งของทีม และกลายเป็นสตาร์ตัวเด่นเป็นความหวังสูงสุดของทีม และเป็นคนที่ทุกสโมสรใหญ่ในยุโรปต้องการได้ตัวมาร่วมทีมอย่างที่สุด
หากลีลล์คือทีมที่เขาเริ่มเปล่งประกาย การย้ายมาเล่นให้กับเชลซี คือช่วงเวลาที่เขาได้เติบโตจากเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
ในเรื่องของฝีเท้าที่ไม่มีใครปฏิเสธ อาซาร์กลายเป็นตัวหลักของทีมอย่างรวดเร็ว และได้แชมป์ยูโรปาลีกในฤดูกาล 2012-13 ซึ่งเป็นฤดูกาลแรกของเขาในสแตมฟอร์ดบริดจ์ แม้ว่าจะไม่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ เพราะมีอาการบาดเจ็บ ก่อนที่จะรับบท ‘พระเอก’ เต็มตัวในฤดูกาลต่อมา ด้วยการพาทีมในยุคของ โฆเซ มูรินโญ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ เป็นแชมป์ลีกสมัยแรกของเขาในอังกฤษ พร้อมกับรับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ (พีเอฟเอ) ไปครองด้วย
แต่หลังจากนั้น อาซาร์เจอกับช่วงเวลาที่ดีและร้ายสลับกันไปตามการขึ้นลงของทีมเชลซี ซึ่งกลายเป็นบทพิสูจน์ความยอดเยี่ยมของเขา เพราะไม่ว่าทีมจะดีหรือร้าย ฟอร์มการเล่นของเขาแทบไม่เคยตกลง หากเป็นฤดูกาลที่เขาท็อปฟอร์ม เชลซีก็จะได้แชมป์ด้วยเสมอ เหมือนในลีกฤดูกาล 2016-17 ภายใต้การนำของ อันโตนิโอ คอนเต
และในฤดูกาลที่ผ่านมา 2018-19 ที่เขาพาทีมเข้าป้ายเป็นอันดับ 3 ในพรีเมียร์ลีก และพิชิตยูโรปาลีกได้สำเร็จ ด้วยการเล่นที่แทบจะแบกทีมที่กำลังอยู่ในช่วงตกต่ำและเต็มไปด้วยปัญหาไว้เพียงลำพัง
ในอีกแง่หนึ่งก็ถือเป็นการขัดเกลาและพิสูจน์เนื้อแท้ของความเป็นยอดนักเตะของเขา
นักเตะที่พร้อมจะไปเล่นให้ทีมไหนก็ได้ในโลก เพราะเขาไม่ได้มีแค่ฝีเท้า หากแต่มีหัวใจที่เข้มแข็งด้วย
1 ปีของอาซาร์ = 9 ปีของซีดาน
ถึงจะประสบความสำเร็จมากมายที่เชลซี แต่ลอนดอนไม่ใช่จุดหมายปลายทางในชีวิตของ เอเดน อาซาร์
เขารู้ตัวตั้งแต่เด็กว่าทีมในฝันคือเรอัล มาดริด และเมื่อมีโอกาสที่จะทำให้มันเป็นจริง ก็ไม่ลังเลที่จะไขว่คว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ให้ได้
สำหรับอาซาร์ สิ่งที่ยากกว่าการทำให้ความฝันเป็นจริงคือ การอดทนเฝ้ารอวันเวลาที่เหมาะสม
1 ปีเต็ม คือช่วงเวลาที่เขาอยู่อย่างเงียบๆ ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ นับตั้งแต่มีความพยายามครั้งแรกที่จะย้ายไปเรอัล มาดริด เมื่อช่วงฤดูร้อนปี 2018 ด้วยความรู้สึกว่า เขาเริ่มอิ่มตัวกับเชลซีแล้ว และมองไม่เห็นว่าเขาจะก้าวไปสู่จุดที่สูงกว่านี้ได้อย่างไร
แต่ด้วยความสำคัญที่มีต่อต้นสังกัดเดิม รวมถึงความผูกพันกับสโมสรที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2012 และความรู้สึกที่ต้องการจะทำอะไรบางอย่าง เพื่อตอบแทนแก่แฟนบอล ทำให้เขายอมที่จะอยู่ในสแตมฟอร์ดบริดจ์ต่อไปก่อน
มาถึงวันนี้ แม้เชลซีจะอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากจากการโดนลงโทษแบนห้ามซื้อผู้เล่นเป็นเวลา 2 รอบตลาดการซื้อขาย หรือ 1 ปี แต่ด้วยผลงานการเล่นที่ทุ่มเททุกนัด และเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่เล่นได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาจากลีลล์ และการมอบของขวัญชิ้นสุดท้ายด้วยแชมป์ยูโรปาลีก ก็ไม่มีใครคิดที่จะขัดขวางเขาอีกต่อไป
เป็นการจากลาที่สวยงามและเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ดีระหว่างกัน
อาซาร์ได้ย้ายไปอยู่กับทีมในฝัน และได้เล่นในทีมที่มีนักเตะขวัญใจตลอดกาลของเขาอย่าง ซีเนดีน ซีดาน เป็นนายใหญ่ ก็เป็นยิ่งกว่าความฝัน
อย่างไรก็ดี อีกมุมหนึ่งของเรื่องนี้ที่หลายคนอาจไม่รู้คือ แท้จริงแล้วไม่ใช่อาซาร์ที่อยากจะได้มาอยู่กับซีดาน
‘ซิซู’ เคยกล่าวถึงเด็กคนนี้เอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 9 ปีที่แล้ว
“ผมพร้อมจะเลือก เอเดน อาซาร์ โดยที่ไม่จำเป็นต้องลืมตาด้วยซ้ำ เขาคือสตาร์แห่งอนาคต”
ซีดานกล่าวถึงอาซาร์เอาไว้ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2010 ในช่วงที่เขาได้รับการทาบทามให้กลับมาช่วยงาน ฟลอเรนติโน เปเรซ และครอบครัวเรอัล มาดริดอีกครั้ง หลังแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2006
อีกครั้งที่เขากล่าวถึงอาซาร์ เกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 ในช่วงที่เขายังฝึกปรือฝีมือการเป็นโค้ชกับทีมกาสติญา หรือเรอัล มาดริด ชุดบี
“รองจากคริสเตียโน (โรนัลโด) และ (ลิโอเนล) เมสซีแล้ว เอเดนคือคนที่ผมชอบมากที่สุด การได้เห็นเขาเล่นเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก”
ในฤดูใบไม้ผลิของปี 2017 เรอัล มาดริดเริ่มต้นแผนการที่จะรวบตัว ติโบต์ กูร์ตัวส์ และอาซาร์มาจากเชลซี สำหรับช่วงฤดูร้อนปี 2018 ซึ่งหนึ่งในคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจคือตัวของซีดานเอง แต่ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามแผนนัก เมื่อพวกเขาได้เพียงแค่กูร์ตัวส์มาก่อน ขณะที่ซีดานก็เปลี่ยนใจวางมือจากทีม หลังคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกสมัยที่ 3 ติดต่อกันได้
แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อซีดานได้หวนกลับมาทำทีมอีกครั้งในฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดฤดูกาลหนึ่งของเรอัล มาดริด
หนึ่งในนักเตะที่เขาต้องการมากที่สุด เพื่อจะทำให้ราชันชุดขาวกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งก็คือ อาซาร์
และวันนี้สองยอดนักเตะต่างยุคได้มาร่วมงานกันจริงๆ เสียที
กาลาคติโกที่รอคอยวันได้เป็นกาลาคติกอส
ผู้คน 50,000 คน ที่เข้ามาร่วมต้อนรับ เอเดน อาซาร์ ไม่ได้เป็นสถิติสูงสุดของสโมสรแต่อย่างใด เพราะเจ้าของสถิตินักฟุตบอลที่มีแฟนบอลมาต้อนรับมากที่สุดยังเป็น คริสเตียโน โรนัลโด ที่มีแฟนมาดริดเข้ามาต้อนรับที่เบอร์นาบิวมากถึง 80,000 คน
แต่มันก็เป็นจำนวนที่มากที่สุดในรอบสิบปี และอาซาร์ถูกยกย่องให้เป็น ‘กาลาคติโก’ คนแรกในรอบ 5 ปีของสโมสร นับจาก ฮาเมส โรดริเกซ กาลาคติโกคนสุดท้ายที่ไม่มีใครจดจำ
อย่างไรก็ดีสำหรับอาซาร์ เขาเองไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเป็นอัศวินดวงดาวเหมือน หลุยส์ ฟิโก, ซีดาน, โรนัลโด (ต้นตำรับ), เดวิด เบ็คแฮม, คริสเตียโน โรนัลโด หรือแม้แต่ แกเร็ธ เบล แต่อย่างใด
“ผมยังไม่ใช่กาลาคติโก แต่ผมจะพยายามที่จะเป็นให้ได้ สำหรับตอนนี้ก็ถือว่าผมยังเป็นแค่ เอเดน อาซาร์ ไปก่อน”
เป็นคำกล่าวในสไตล์ของเขาแท้ๆ สไตล์ของคนที่ขี้อายและถ่อมตัวเสมอ
แต่ลึกๆ แล้ว อาซาร์มีเป้าหมายอื่นที่ไม่ใช่การเป็นซูเปอร์สตาร์ของคนอื่น เพราะหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการจะย้ายมาที่เรอัล มาดริด มาจากความเชื่อว่า หากเขาต้องการที่จะเป็นนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกให้ได้ เขาจำเป็นที่จะต้องย้ายมาอยู่กับทีมที่ดีที่สุดของโลกเสียก่อน
เรอัล มาดริดเป็นสโมสรที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ในทุกด้าน มากกว่าแค่การเป็นสโมสรในฝันเฉยๆ
ในวัย 28 ปี อาซาร์กำลังอยู่ในวันเวลาที่ดีที่สุดของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มันเป็นวัยที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งถึงขีดสุด ฝีเท้าได้รับการขัดเกลามาจนแหลมคมรอบด้าน และยังมากด้วยประสบการณ์ที่จะสามารถเอาตัวรอดได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดไหน
และมันเป็นช่วงเวลาที่โรนัลโดกับเมสซีกำลังเข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตการเล่นแล้ว หากเขาต้องการจะขึ้นเป็นหมายเลขหนึ่งแทน ก็ไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่านี้อีกแล้ว
แต่การจะขึ้นสู่จุดสูงสุดให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มันเรียกร้องหลายสิ่งหลายอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะบุคลิกของความเป็นผู้นำ การเป็นผู้ที่ต้องสร้างสิ่งพิเศษให้เกิดขึ้นในสนามได้เพียงลำพัง และการแบกรับความหวังของทุกคน
โดยเฉพาะความหวังของมาดริดิสตาที่หนักหนาสาหัสที่สุดในโลก
แม้กระทั่งในการเปิดตัวของเขาที่เบอร์นาบิว ก็มีแฟนบอลบางส่วนที่ไม่ได้ยินดีอะไรมากมายนัก เพราะคนที่แฟนบอลเหล่านี้ต้องการจริงๆ คือ คีเลียน เอ็มบัปเป้ สตาร์กองหน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส คนเดียวในโลกที่พวกเขาเชื่อว่า จะเข้ามาสวมบทบาทของโรนัลโด ที่ยังไม่มีใครทดแทนได้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา
ติดตรงที่ปารีส แซงต์ แชร์กแมงไม่ต้องการเสียสมบัติล้ำค่าที่สุดของพวกเขาไป และเรอัล มาดริด ถึงจะต้องการ แต่ก็ไม่ได้มีทุนทรัพย์เหลือมากพอที่จะยอมทุบกระปุกเพื่อซื้อตัวเขามาร่วมทีมให้ได้เหมือนกัน รวมถึงโดยปกติแล้ว ฟลอเรนติโน เปเรซ จะซื้อสตาร์ระดับกาลาคติโกเพียงแค่คนเดียวในแต่ละฤดูกาล ซึ่งอาซาร์ก็ถือเป็นกาลาคติโกแล้ว
ในอีกด้าน อาซาร์ก็ไม่ได้คิดว่าเขาจะมาแทนที่ใครเหมือนกัน
เมื่อเทียบกับบรรดานักเตะที่เรอัล มาดริดทุ่มซื้อตัวมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกา โจวิช สตาร์กองหน้าผู้ร้อนแรงจากไอน์ทรัค แฟรงค์เฟิร์ต, แฟร์ลองด์ มองดี แบ็กซ้ายจอมลุยจากโอลิมปิกลียง, โรดริโก ดาวรุ่งจากซานโตส, เอแดร์ มิลิเตา ปราการหลังจากปอร์โต หรือแม้แต่ในหมู่สตาร์ที่เหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็น คาริม เบนเซมา, มาร์โก อเซนซิโอ, อิสโก อลาร์กอน, วินิเชียส จูเนียร์ หรืออาจจะรวมถึง แกเร็ธ เบล หากไม่มีใครมาคว้าตัวเขาไป เอเดน อาซาร์ คือความหวังสูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาคือคนที่ Marca สื่อท้องถิ่นมาดริดที่ใกล้ชิดสโมสรยกย่องว่าจะเป็นคนที่นำพาเรอัล มาดริดเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่งไม่ใช่งานง่ายเลย เพราะภายในทีมเต็มไปด้วยปัญหาที่รอการแก้ไข ไม่เพียงแค่เรื่องในสนามแต่ยังมีเรื่องนอกสนามอีกมากมายด้วย
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เรื่องในสนาม ซึ่งถ้าหากอาซาร์สามารถนำราชันชุดขาวคืนสู่ความยิ่งใหญ่ได้จริง วันนั้นผู้คนจะยอมรับเขาที่ไม่ใช่เพียงในฐานะกาลาคติโกร่วมกับเหล่ากาลาคติกอสรุ่นพี่เท่านั้น
ผู้คนจะแซ่ซ้องชื่อของเขาในฐานะนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดคนใหม่ และนั่นคือเป้าหมายสุดท้ายในชีวิตการเล่นของเขา
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- www.independent.co.uk/incoming/eden-hazard-my-family-would-make-a-great-five-a-side-team-8393517.html
- www.theguardian.com/football/2019/jun/13/eden-hazard-fulfils-dream-real-madrid-move
- www.thetimes.co.uk/edition/sport/eden-hazard-expected-to-fill-cristiano-ronaldos-boots-at-real-madrid-6plghknjp
- www.bbc.com/sport/football/48630080
- ในระหว่างการเปิดตัว อาซาร์กล่าวทักทายทุกคนด้วยภาษาสเปนว่า “Hola Todos” (สวัสดีทุกคน) และปิดท้ายด้วยคำขวัญของทีม ‘Hala Madrid’ เรียกเสียงปรบมือได้ดังสนั่น
- อาซาร์พยายามแอบเนียนเลียบๆ เคียงๆ ขอเสื้อหมายเลข 10 จาก ลูกา โมดริช แต่ได้รับการปฏิเสธจากเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ปีล่าสุด ทำให้ในการเปิดตัว เสื้อของเขายังไม่มีการระบุหมายเลขเสื้อ
- และเสื้อของเขาซึ่งมีราคาตัวละ 100 ยูโร ก็มีแค่ชื่อของเขาที่พิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเท่านั้น ยังไม่มีหมายเลขแต่อย่างใด แต่ในช่วงก่อนหน้าการเปิดตัว เคยมีภาพหลุดเสื้อของอาซาร์พิมพ์หมายเลข 7
- ในระหว่างการเซ็นสัญญา ครอบครัวอาซาร์มาร่วมถ่ายภาพด้วยทุกคน