แม้วิกฤตชัตดาวน์ในสหรัฐอเมริกาจะผ่านพ้นไปแล้ว โดยหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการตามปกติในวันนี้ (28 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น แต่ถึงกระนั้น ความเสียหายก็ได้เกิดขึ้นไปแล้วเช่นกัน
รายงานจาก S&P Global ระบุว่า ความเสียหายทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือภาวะชัตดาวน์ครั้งล่าสุด ซึ่งทำสถิติยาวนานที่สุดถึง 35 วัน อาจมีมูลค่าสูงกว่า 5.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นตัวเลขจำนวนเดียวกับที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องจากสภาคองเกรส เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับโครงการสร้างกำแพงกั้นชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก
ข้อมูลสถิติแสดงให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายเฉลี่ยทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการชัตดาวน์ครั้งนี้อยู่ที่ 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ สำหรับผลกระทบโดยตรงนั้นรวมถึงการสูญเสียผลิตภาพจากแรงงานหลายแสนคนที่ไม่ได้รับค่าจ้างมาตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความสูญเสียผลิตภาพจากแรงงานภาครัฐจะไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้เหมือนกับการชัตดาวน์ครั้งที่ผ่านๆ มา โดยถึงแม้ลูกจ้างรัฐบาลกลางจะได้รับเงินชดเชยหลังจากหน่วยงานต้นสังกัดกลับมาเปิดทำการ แต่แรงงานภาคเอกชนราว 4 ล้านรายที่ตำแหน่งงานของตนขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางนั้น จะไม่ได้รับเงินชดเชยแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาเตือนว่า ภาวะชัตดาวน์อาจกระทบการจ้างงานถึง 500,000 ตำแหน่งในเดือนมกราคม และอาจส่งผลให้อัตราการว่างงานปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือระดับ 4%
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐฯ ในเดือนมกราคมลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี โดยมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการชัตดาวน์ยาวนานเป็นประวัติการณ์ดังกล่าว
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: