×

สรุปประเด็น ครม. เศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 ตั้งเป้าดัน GDP ไทยปีนี้โต 3%

10.06.2024
  • LOADING...

สรุปประเด็นสำคัญจากการประชุม ครม. เศรษฐกิจ ครั้งที่ 2 ตั้งเป้าดัน GDP ปี 2567 โต 3% ผ่าน 3 แรงขับเคลื่อน ได้แก่ ท่องเที่ยว เบิกจ่ายงบรัฐ และดึงลงทุนต่างประเทศ เร่งแก้ปัญหาหนี้เสียและราคาปาล์มตกต่ำ ประกาศดูแลแรงงาน หลังโรงงานปิดตัวหลักพัน ยืนยันฟื้น LTF แน่นอน

 

วันนี้ (10 มิถุนายน) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ โดยระบุว่า ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจตั้งเป้าผลักดัน GDP ปี 2567 ขึ้นไปแตะ 3% จากคาดการณ์ปัจจุบันที่ 2.4% ผ่านการเร่งผลักดัน 3 แรงขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การท่องเที่ยว การเบิกจ่ายงบภาครัฐ และการลงทุนเอกชน

 

“เศรษฐกิจไทยมีปัญหา GDP ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับศักยภาพประเทศคู่ค้าหรือประเทศเพื่อนบ้าน โดยมีการคาดการณ์ว่า GDP ทั้งปีจะอยู่ที่ 2.4% จึงอยากให้ GDP ปรับขึ้นไปที่ 3% โดยการขับเคลื่อนผ่าน 3 ด้าน” พิชัยกล่าว

 

    1. ภาคการท่องเที่ยว โดยเดิมตั้งเป้านักท่องเที่ยวปีนี้ที่ 35.7 ล้านคน แต่หากสามารถเพิ่มตัวเลขนักท่องเที่ยวปีนี้อีก 1 ล้านคน เป็น 36.7 ล้านคน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาก็เชื่อมั่นว่าน่าจะสามารถผลักดันได้ และต้องทำให้การพำนักในไทยของนักท่องเที่ยวนานขึ้นด้วย หากทำได้จะช่วยผลักดัน GDP ได้ 0.12%

 

    1. การเบิกจ่ายงบภาครัฐ ซึ่งงบลงทุนปี 2567 มียอดทั้งหมด 8.5 แสนล้านบาท มีการเบิกจ่ายเม็ดเงินจริง และรอการเซ็นสัญญารวมแล้ว 51% แต่จะพยายามขับเคลื่อนการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ 70% แต่ส่วนตัวมีเป้าในใจอยากให้ทะลุ 75% โดยในวันพุธนี้ (12 มิถุนายน) จะหารือกับหน่วยงานที่ยังไม่เร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ เพื่อผลักดันงบลงทุนให้ได้ถึง 70% ภายในปีนี้ จะเป็นการช่วยเพิ่ม GDP 0.24% ดังนั้นรวมแล้วจะได้ GDP ที่ 3%

 

    1. มาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน แม้รัฐบาลจะประเมินการช่วยเหลือได้ยาก แต่ตัวเลขที่เป็นไปได้จากข้อมูล BOI วันนี้ภาคเอกชนเริ่มเซ็นสัญญาลงทุนแล้ว และพร้อมที่จะเริ่มงานใน 3 ปี จะมีเม็ดเงินลงทุนกว่า 8 แสนล้านบาท ซึ่งส่วนตัวเห็นว่าเม็ดเงินลงทุนดังกล่าว จะดึงมาลงทุนในปีนี้สัก 3-4 แสนล้านบาท จะช่วยเพิ่ม GDP แม้ตัวเลขยังไม่นิ่ง ก็จะทำงานร่วมกับ BOI เพื่อสรุปตัวเลขให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และกลับมาลงทุนในประเทศไทยได้เร็วที่สุด

 

“ทั้ง 3 มาตรการนี้ เป็นมาตรการเบื้องต้นเท่านั้น แต่จะต้องพิจารณาตัวขับเคลื่อนว่าตัวไหนเป็นสาระสำคัญ และมาเร่งดำเนินการ ซึ่งจะมีการศึกษาว่าจะขับเคลื่อนงานด้านใด” พิชัยกล่าว

 

แก้ไขปัญหาปาล์มตกต่ำ

 

พิชัยกล่าวอีกว่า ครม. เศรษฐกิจได้พิจารณาการแก้ไขปัญหาปาล์มตกต่ำ โดยเฉพาะในเดือนนี้ที่มีผลผลิตออกมาจำนวนมาก โดยมาตรการระยะสั้นอยากเห็นผู้ซื้อสามารถพูดคุยกับเจ้าของโรงงานไบโอดีเซล 100 หรือ B100 เพื่อกำหนดราคาที่ใกล้เคียงและเป็นราคาที่จะสามารถประกาศ ซึ่งจะหาคำตอบว่าจะทำได้หรือไม่ ถ้าทำ B100 ขึ้น น้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ก็จะขึ้น และถ้าควบคุมการซื้อขายปาล์มได้ ก็จะทำให้ราคาขยับขึ้นไปที่ 5 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาจากวงจรทั้งหมด โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงพลังงาน ไปดูราคาตลาด ก่อนดำเนินการประกาศและพูดคุยกับผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 เพื่อให้ลงตัวมากที่สุด

 

เร่งดูแลแรงงาน หลังโรงงานปิดตัวหลักพัน

 

พิชัยกล่าวอีกว่า ครม. เศรษฐกิจรับทราบรายงานจากกระทรวงแรงงานในเรื่องการดูแลแรงงานในขณะนี้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโรงงานที่ปิดและมีคนตกงานมากกว่า 5 แสนคน ขณะเดียวกันต้องรองรับนักศึกษาจบใหม่อีก 1 แสนคน ซึ่งกระทรวงแรงงานได้เทียบตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร ซึ่งมีมากกว่า 5 แสนตำแหน่ง ณ วันนี้ จึงมีแรงงานที่ว่างงาน 1 แสนกว่าคน ดังนั้นจึงมอบหมายให้กระทรวงแรงงานติดตามสถานการณ์ดูความสมดุลการจ้างงาน

 

พิชัยกล่าวว่า ได้หารือเพิ่มทักษะแรงงานไทย ซึ่งขณะนี้มีความต้องการด้านอิเล็กทรอนิกส์และด้านรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่นักลงทุนสนใจ โดยอยากได้คนที่มีทักษะทำงานได้ รวมถึงมีพลังงานสีเขียว โดยหลังจากนี้จะเก็บข้อมูลสิ่งที่นักลงทุนสนใจ และเห็นว่าจะตั้งคณะกรรมการระดับชาติขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อัปสกิลแรงงานดึงเงินลงทุนต่างชาติ ว่านักลงทุนต่างชาติจะสนใจลงทุนในด้านใด โดยจะทำงานร่วมกับผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดด้วยการฝึกคนรุ่นใหม่ เน้นการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจมีหลักสูตรที่ตรงมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันต้องมีที่ฝึกงานแลกเปลี่ยนกับต่างประเทศ 

 

ส่วนบุคลากรที่มีความสนใจด้านอิเล็กทรอนิกส์อยู่แล้วก็จะเพิ่มทักษะมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ซึ่งสามารถเข้าหลักสูตรเรียนรู้เพิ่มเติม ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องคน

 

แก้ปัญหาหนี้เสีย เร่งปล่อยสินเชื่อ

 

พิชัยกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. เศรษฐกิจได้พิจารณาเรื่องหนี้ NPL สูง และผู้ประกอบการที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อ ซึ่งในเร็วๆ นี้จะหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยว่า จะมีมาตรการที่ยืดหยุ่นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการให้กับกลุ่ม 21 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด จำนวน 4 ล้านราย ออกจากเครดิตบูโร

 

ส่วนในการประชุม ครม. วันพรุ่งนี้ (11 มิถุนายน) จะมีการเสนอมาตรการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท เพื่อช่วยผู้ประกอบการ SME เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น 

 

พิชัยกล่าวต่อว่า ในระยะต่อไปจะมอบหมายให้ธนาคารออมสินออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) วงเงิน 1 แสนล้านบาท ปล่อยให้กับสถาบันการเงินในอัตรา 0.1% เพื่อนำวงเงินดังกล่าวไปปล่อยสินเชื่อต่อสำหรับลูกค้ารายใหม่ ดอกเบี้ย 1-3 ปีแรกไม่เกิน 3.5% ซึ่งยอมรับว่าอาจกระทบกับกำไรของธนาคารออมสินบ้าง แต่ถือว่าเป็นการช่วยผู้ประกอบการและประชาชนให้เข้าถึงสินเชื่อได้

 

ยืนยันฟื้น LTF แน่นอน

 

พิชัยกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ยืนยันว่าเกิดขึ้นแน่นอน แต่ต้องดูที่วัตถุประสงค์ด้วย โดยต้องการให้ประชาชนได้ลงทุนในหุ้นที่ดี และต้องสามารถออมเงินได้ ซึ่งโครงการนี้ต้องเป็นโครงการที่ดี ไม่ใช่หุ้นประเภทไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นหุ้นที่เรากำหนดและดูดีกับผู้ลงทุน ส่วนรายละเอียดโครงการขอให้ทางตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ทำงานร่วมกับกรมสรรพากร และต้องหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เพื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ วงเงินเท่าไร รูปแบบที่จะทำ และระยะเวลาที่จะดำเนินการ

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X