×

รู้จัก ‘e-fuels’ น้ำมันยุคใหม่ แบบฉบับญี่ปุ่น เชื้อเพลิงเหลวที่เป็นมากกว่าไฮโดรเจน และกำลังเป็นคำตอบสุดท้ายของ ‘บางจาก’

11.10.2025
  • LOADING...
e-fuels

HIGHLIGHTS

  • THE STANDARD WEALTH ชมศูนย์วิจัย ‘ENEOS’ ที่เมืองโยโกฮามา บริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่น 
  • รู้จัก e-fuels น้ำมันสังเคราะห์ เชื้อเพลิงเหลวที่เป็นมากกว่าไฮโดรเจน ทางเลือกพลังงานแห่งอนาคตของ ‘บางจาก’
  • ส่อง 5 ประเทศ ที่มุ่งพัฒนา e-Fuels สู่ ‘การผลิตเชิงพาณิชย์’ 

ขึ้นชื่อว่า ‘ญี่ปุ่น’ ถือเป็นประเทศในเอเชียที่มีการพัฒนาทางเทคโนโลยีขั้นสูง ท่ามกลางภูมิประเทศที่มักจะเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง 

 

ด้วยเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ญี่ปุ่นมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประมาณ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีจำนวนประชากรราว 123 ล้านคน 

 

แม้ญี่ปุ่นมีทรัพยากรภายในประเทศสำหรับการผลิตพลังงานค่อนข้างน้อย แต่มีการวิจัยพัฒนาด้านพลังงานมาก

 

THE STANDARD WEALTH มีโอกาสเดินทางเยี่ยมชมศูนย์วิจัยเทคนิคกลาง “ENEOS” ที่เมืองโยโกฮามา บริษัทพลังงานญี่ปุ่นที่ครบวงจร ให้บริการผลิตภัณฑ์และโซลูชันทั่วโลก ที่ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2431 ที่กรุงโตเกียว ในชื่อ ‘Nippon Oil

 

ปัจจุบัน เป็นบริษัทพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยมีโรงงานผลิต เทคโนโลยี และศูนย์จำหน่ายทั่วโลก และมีแบรนด์น้ำมันเครื่องชั้นนำ ‘ENEOS’

 

 

รู้จัก ‘e-fuels’ น้ำมันยุคใหม่ แบบฉบับญี่ปุ่น 

 

ศูนย์วิจัยเทคนิคกลางของ ENEOS ได้จัดตั้งโรงงานสาธิตผลิต e-Fuels หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ ในปีที่ผ่านมา 2567 เป็นพลังงานใหม่ ที่ใช้กระบวนการแปรรูปไฮโดรเจนจากการแยกโมเลกุลน้ำ และดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ ในคราวเดียวกันผ่านกระบวนการผลิตเป็นไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์ 

 

ซึ่งสามารถใช้แทนน้ำมันจากฟอสซิลได้ทันที (drop-in fuels) โดยไม่ต้องเปลี่ยนเทคโนโลยีเครื่องยนต์ โครงสร้างพื้นฐาน หรือระบบนิเวศใดๆ 

 

โรงงานสาธิตแห่งนี้มีกำลังผลิตเริ่มต้น 1 บาร์เรลต่อวัน ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานวิจัยและพัฒนาของรัฐบาลญี่ปุ่น New Energy and Industrial Technology Development Organization (NEDO) ภายใต้กองทุน Green Innovation Fund แม้ยังไม่มีการผลิตเชิงพาณิชย์ แต่มีการนำผลงานไปจัดแสดงแล้วที่งาน Osaka Expo 2025

 

 

ตามข้อมูลจาก Fortune Business Insights (2024) ประเมินว่าอุตสาหกรรม e-Fuels มีมูลค่าประมาณ 11,700 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะขยายตัวแตะระดับเกือบ 88,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2575 

 

 e-fuels และกักเก็บคาร์บอน CCUS กำลังเป็นโอกาสใหม่บางจาก

 

ชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท บางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เผยว่าแผนธุรกิจวันนี้บางจากจะมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไฮโดรเจน แอมโมเนีย เทคโนโลยีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Utilization and Storage หรือ CCUS) ซึ่งอาจพิจารณาเป็นการลงทุนร่วมกับพาร์ตเนอร์ ในอนาคต

 

นอกจากนี้ยังหา ‘แสวงหาโอกาสใหม่’ ลงทุนในธุรกิจ Data center ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สอดรับกับการเติบโตของประเทศไทย ซึ่งแน่นอนว่าบริษัทเทคที่จะมาลงทุนต่างมองหาพลังงานสะอาดเป็นเงื่อนไขสำคัญ

“แน่นอนว่า เราเห็นโอกาสและอยู่ระหว่างศึกษา e-Fuels ด้วยไอเดียที่ว่า ในเมื่อทั่วโลกมียานยนต์ราว 1,500 ล้านคัน ราว 20 ล้านคัน เป็นยานยนต์ไฟฟ้า ดังนั้น การเปลี่ยน Ecosystem ของรถยนต์ไปสู่ระบบไฟฟ้าหรือแบตเตอรี่จะต้องใช้ต้นทุนหรือมีความยุ่งยากมาก”

 

 

e-Fuels น่าจะเป็น ‘คำตอบสุดท้าย’ ที่จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนในระหว่างการเปลี่ยนผ่านได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด

“ถ้ามองเพียงแค่ EV หรือทางเลือกพลังงานอะไรก็แล้วแต่ ต้องบอกว่า บนโลกนี้ มีความหลากหลาย เสื้อผ้ายังมีหลายแบบให้เลือก เราไม่จำเป็นต้องมีทางเลือกเดียวเสมอไป” ชัยวัฒน์ ย้ำ

 

ชัยวัฒน์ บอกอีกว่า เพราะบางจากฯ ยังมีการผลิตเชื้อเพลิงสะอาดจากน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว ครอบคลุมการเดินทางและยังเป็นบริษัท ‘ผู้บุกเบิก’ การขนส่งทั้งทางอากาศด้วยน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (SAF) ทางบกด้วย Renewable Diesel (HVO) และทางน้ำด้วย B24 Marine Biofuels อีกด้วย 

 

e-Fuels คืออะไร ทำไมจึงเป็นมากกว่าไฮโดรเจน

 

ชัยวัฒน์ อธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นอีกว่า ‘e-Fuels’ หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ (Electrofuels) เป็นเชื้อเพลิงเหลวที่เป็นมากกว่าไฮโดรเจน หมายความว่า ผลิตขึ้นจาก ‘ไฮโดรเจนสะอาด’ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 

 

โดยอาศัยไฟฟ้าที่มาจากพลังงานหมุนเวียน กระบวนการนี้เปลี่ยนคาร์บอน
ที่ถูกดักจับจากปล่องโรงงาน หรืออากาศให้กลายเป็น ‘น้ำมันดิบสังเคราะห์’ ซึ่งสามารถนำไปกลั่นเป็น e-Gasoline e-Diesel และ e-SAF (Sustainable Aviation Fuel) ที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์สันดาปภายในและโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิมได้

 

โลกยังต้องพึ่ง ‘เชื้อเพลิงเหลว’

 

ชัยวัฒน์ มองว่า แม้โลกจะมุ่งสู่การใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แต่การเดินทางทั้งทางบก เรือ และอากาศ ยังคงต้องพึ่งพาเชื้อเพลิงเหลว ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูงและจัดเก็บได้สะดวก e-Fuels จึงน่าจะเป็น ‘พลังงานสะพานเชื่อม’ ที่ทำให้สามารถลดการปล่อยคาร์บอนในระหว่างการเปลี่ยนผ่านได้ โดยไม่ต้องเปลี่ยนระบบใหม่ทั้งหมด 

 

 

พลังงานหมุนเวียน เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ จะนำมาใช้ผลิตไฟฟ้า ถูกส่งเข้าสู่กระบวนการแยกน้ำเพื่อให้ได้ไฮโดรเจนสะอาด ขณะเดียวกัน ก็มีการดักจับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากปล่องโรงงานหรือจากอากาศ เมื่อผสมไฮโดรเจนเข้ากับคาร์บอนไดออกไซด์ผ่านปฏิกิริยาทางเคมี จะได้ของเหลวที่เรียกว่า ‘น้ำมันดิบสังเคราะห์’ e-Fuels แล้วนำไปกลั่นและปรับแต่งจนได้เชื้อเพลิง เช่น e-Gasoline e-Diesel และ e-SAF คาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมา จะใช้พลังงานหมุนเวียนตลอดทั้งเส้นทาง เรียกได้พลังงานสะอาดหลายต่อ

 

e-Fuels เริ่มใช้ทั่วโลก ชิลี-เยอรมนี-นอร์เวย์

 

วันนี้ e-Fuels กำลังได้รับความสนใจทั่วโลกอย่างมาก โดยข้อมูลจาก International e-Fuels Observatory (2025 edition) ระบุว่า มีโครงการ e-Fuels เกือบ 120 โครงการ ใน 28 ประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่ระดับนำร่องไปจนถึงอุตสาหกรรมใหญ่ อีกทั้งมีการประเมินว่ากำลังการผลิต e-Fuels ทั่วโลกอาจมีกว่า 15 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2573

 

แม้หลายโครงการยังอยู่ระหว่างการพัฒนา แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงการขยายตัวที่รวดเร็วและการสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่กำลังเร่งผลักดันให้ e-Fuels ก้าวสู่ ‘การผลิตเชิงพาณิชย์’ จริง

 

หลายภูมิภาคทั่วโลกแต่ละแห่งมีลักษณะและเป้าหมายต่างกันไป ตั้งแต่การทดลองในระดับสาธิต การทดสอบกับเครื่องยนต์จริง ไปจนถึงโรงงานเชิงพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป เช่น 5 โครงการ 

 

 

  1. Haru Oni Project ชิลี: โครงการนำร่องของ Porsche และ HIF Global ใช้พลังงานลมใน Patagonia ผลิต e-Methanol และ e-Gasoline เริ่มเดินเครื่องเชิงสาธิตปี 2565 มีกำลังผลิตเริ่มต้นราว 130,000ลิตรต่อปี และมีแผนขยายสู่ระดับเชิงพาณิชย์

 

  1. ENEOS ญี่ปุ่น: โรงงานสาธิตที่เมืองโยโกฮามา เปิดในปี 2567 กำลังผลิตหนึ่งบาร์เรลต่อวัน ผลิตจากพลังงานสะอาดและคาร์บอนไดออกไซด์ ได้รับการสนับสนุนจาก NEDO ภายใต้กองทุน Green Innovation Fund ของรัฐบาลญี่ปุ่น

 

  1. Airbus e-SAF: ยุโรป Airbus ทำงานร่วมกับ TotalEnergies และ Neste ทดลองใช้ e-SAF กับเครื่องบิน A350และ A321neo ตั้งแต่ปี 2564 โดยการบินทดสอบประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องยนต์ แสดงถึงศักยภาพของ e-Fuels ในอุตสาหกรรมการบินเชิงพาณิชย์

 

  1. INERATEC ERA ONE: เยอรมนี โรงงาน ERA ONE ของ INERATEC ที่แฟรงก์เฟิร์ต เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์จริงมิถุนายน 2568 ถือเป็นโรงงาน e-Fuels ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป กำลังการผลิตสูงสุด 2,500 ตันต่อปี ผลิตเชื้อเพลิงสังเคราะห์จากไฮโดรเจนสะอาดและคาร์บอน เพื่อใช้ในภาคการบินและการขนส่ง

 

  1. Norsk e-Fuel: นอร์เวย์ โรงงานที่เมือง Mosjoen ตั้งเป้าเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ในปี พ.ศ. 2569 ระยะแรกมีกำลังผลิตราว 25 ล้านลิตรต่อปี และมีแผนขยายต่อเนื่อง

เพื่อป้อนตลาดการบินยุโรปในอนาคต

 

 

ชัยวัฒน์ ระบุว่า ธุรกิจที่กล่าวมาข้างต้น บางจาก วางไว้ในกลยุทธ์ “Accelerating Bangchak 100x: Pivoting toward Energy Security and Sustainability” ที่ตั้งเป้าเพิ่ม EBITDA ขึ้น 100% ภายในปี 2571 ภายใต้ 4 แกนยุทธศาสตร์สำคัญที่ได้ประกาศไปเมื่อเร็วๆ นี้  ได้แก่ 

  1. การตั้งเป้าหมายใหม่ที่ท้าทาย มุ่งผลักดันให้ EBITDA เติบโตเพิ่มขึ้น 100% ภายในปี 2571 
  2. มุ่งพลังงานและความยั่งยืน 
  3. การยกระดับศักยภาพธุรกิจผ่านการปรับโครงสร้าง 
  4. การสร้างคุณค่าแก่ผู้ถือหุ้นผ่านโครงการซื้อหุ้นคืนระยะ 3 ปี เสริมศักยภาพการเติบโตระยะยาว

 

 

ไม่ใช่คู่แข่ง EV แต่เป็นตัวเลือกผู้บริโภค 

ระหว่างเยี่ยมชม THE STANDARD WEALTH ได้สอบถามทีมนักวิจัย ENEOS Holdings ถึงแนวโน้มอนาคตว่า e-Fuels จะมาทดแทน EV หรือไม่นั้น

 

วิศวกรผู้เชี่ยวชาญ บอกว่า เป้าหมายสูงสุดของการวิจัยคือการทำให้เชื้อเพลิงสังเคราะห์มีราคาที่เทียบเท่ากับเชื้อเพลิงทั่วไปที่ใช้กันอยู่ในตลาด แม้ว่าในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุระยะเวลาที่ชัดเจนในการลดต้นทุนจากประมาณ 700 เยน ลงมาสู่ระดับที่แข่งขันได้ แต่การวิจัยจะสามารถช่วยลดต้นทุนลงมา ให้เข้ากับราคาเชื้อเพลิงทั่วไปได้ในอนาคต และทั่วโลกต่างมุ่งไป

 

 

“เราคงไม่ได้มองว่าเป็นคู่แข่ง EV แต่เป็นตัวเลือกผู้บริโภค เพราะไม่มีทางที่การใช้ไฟฟ้า 100% จะยั่งยืนหรือครอบคลุมไปทั้งหมด ดังนั้น จึงยังจำเป็นต้องวิจัยพัฒนาเชื้อเพลิงชนิดอื่นๆ เสริมด้วย”

 

เมื่อพูดถึง ความท้าทายของ e-Fuels ต้อมยอมรับว่า 1. ต้นทุนการผลิต แพงกว่าไฮโดรคาร์บอนหลายเท่าเนื่องจากต้องใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนที่มีค่าใช้จ่ายสูง จึงยังไม่สามารถแข่งขันเชิงพาณิชย์ได้โดยลำพัง 

 

  1. เทคโนโลยี โครงการส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงการทดลอง หรือโรงงานนำร่อง (pilot/demo scale) แม้จะพิสูจน์ศักยภาพได้แล้ว แต่การขยายกำลังผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม ยังต้องใช้เวลาและเงินลงทุนอีกมากรวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน

 

  1. กฎระเบียบและนโยบาย ยังไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนหรือมาตรการสนับสนุน เช่น แรงจูงใจ นักลงทุนก็อาจชะลอการตัดสินใจ เพราะยังมองไม่เห็นความมั่นใจในตลาดระยะยาว

 

 

อย่างไรก็ตาม ตัวอย่างการสนับสนุนจากภาครัฐในประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น

 

  • เยอรมนี: จัดสรรงบประมาณกว่า 1.9 พันล้านยูโรเพื่อสนับสนุนการก่อสร้างโรงงาน e-Fuels ขนาดใหญ่ 
  • สหภาพยุโรป (EU): ออกกฎ ReFuelEUAviation กำหนดให้สายการบินต้องผสม SAF 
  • ญี่ปุ่น: จัดตั้งกองทุน Green Innovation Fundมูลค่า 120,000 ล้านเยน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและ e-Fuels โดยมีหน่วยงาน NEDO ดูแลการวิจัยและพัฒนาภาครัฐและเอกชน
  • สหรัฐอเมริกา: ออกกฎหมายด้านพลังงานสะอาด มอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีและเงินทุนผู้ผลิต SAF และ e-Fuels เพื่อกระตุ้นการผลิตเชิงพาณิชย์และเร่งการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
  • นอร์เวย์และชิลี: ใช้ศักยภาพพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ควบคู่กับนโยบายของรัฐ เพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและผลักดันให้กลายเป็น “ฐานการผลิต e-Fuels สำคัญของโลก”

 

จากการชมศูนย์วิจัยครั้งนี้ บอกได้เลยว่า แม้โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนผ่านพลังงาน และมีแนวโน้มใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น นอกจากไฮโดรเจน ที่เป็นทางเลือกใหม่ล่าสุดแล้ว 

 

 

เชื่อว่า อนาคต e-Fuels จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและพร้อมลงสนามแข่งอุตสาหกรรมยานยนต์ แม้ต้องยอมรับว่า วันนี้อาจจะยังไกลตัวคนไทยไปบ้าง ด้วยต้นทุนที่สูง และต้องอาศัยการสนับสนุนจากรัฐบาล 

 

แต่เมื่อถนนทุกสายต่างมุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านเชื้อเพลิงสะอาด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องจับตา…

 

ภาพ: Fabian Mohr, Jeremy Woodhouse, AlxeyPnferov /Getty images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising