นับตั้งแต่วันที่ Dune นิยายไซไฟระดับตำนานจากปลายปากกาของ Frank Herbert ออกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1965 ก็มีผู้กำกับและสตูดิโอภาพยนตร์มากมายพยายามที่จะหยิบนิยายเรื่องนี้มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง ซึ่งดูจะเป็นเส้นทางที่ทุลักทุเลอยู่พอสมควร
ไล่เรียงตั้งแต่ปี 1971 ที่บริษัท APJAC Productions ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Planet of the Apes (1968) ได้รับสิทธิ์ในการนำนิยายเรื่อง Dune มาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ แต่ด้วยเหตุการณ์เสียชีวิตของ Arthur P. Jacobs ผู้ดำรงตำแหน่งโปรดิวเซอร์ ในปี 1973 ก็ส่งผลให้โปรเจกต์นี้ต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน หรือจะเป็นผู้กำกับอย่าง Alejandro Jodorowsky ที่หมายมั่นจะสร้าง Dune ฉบับภาพยนตร์ขึ้นมาด้วยความยาวถึง 14 ชั่วโมง แต่ในท้ายที่สุดโปรเจกต์สุดทะเยอทะยานนี้ก็ต้องถูกพับเก็บไป รวมถึงผู้กำกับ David Lynch ที่สามารถสร้าง Dune ฉบับภาพยนตร์เรื่องแรกขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1984 แต่ด้วยเนื้อหาที่มีความซับซ้อนจนเกินไป จึงส่งผลให้ Dune ฉบับของ David Lynch ทำรายได้ไปเพียง 31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากทุนสร้างที่สูงถึง 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จากความล้มเหลวในการพยายามดัดแปลงเรื่องราวสุดล้ำของ Frank Herbert ให้กลายมาเป็นภาพยนตร์อยู่หลายครั้ง ในท้ายที่สุด Dune ก็ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อีกครั้งภายใต้การกำกับของ Denis Villeneuve ผู้กำกับวิสัยทัศน์สุดล้ำจาก Arrival (2016) และ Blade Runner 2049 (2017) ซึ่ง Denis Villeneuve ได้ตัดสินใจแบ่งเนื้อหาของนิยายเล่มแรกออกเป็น 2 พาร์ต เพื่อที่จะสามารถบอกเล่าเนื้อหาอันเข้มข้นซับซ้อนของนิยายออกมาได้อย่างครบถ้วน
ซึ่ง Denis Villeneuve ก็สามารถกู้ชื่อของ Dune ฉบับภาพยนตร์ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้อย่างสมศักดิ์ศรีทีเดียว
Dune บอกเล่าเรื่องราวของ พอล อาทรีเดส (Timothée Chalamet) บุตรชายแห่งตระกูลอาทรีเดส ที่ต้องออกเดินทางตาม เลโต้ อาทรีเดส (Oscar Isaac) ผู้เป็นพ่อและผู้นำตระกูล ไปยังดาวอาร์ราคิสที่ห้อมล้อมไปด้วยทะเลทราย ตามคำสั่งของจักรพรรดิพาร์ดิชา เพื่อปกครองดวงดาวและขุดหา Spice ทรัพยากรที่ล้ำค่ามากที่สุดในจักรวาล ซึ่งอยู่ภายในดาวอาร์ราคิส
แต่แล้วชนวนของสงครามก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเลโต้สัมผัสได้ถึงแผนการร้ายบางอย่างของตระกูลฮาร์คอนเนน ศัตรูคู่แค้นที่ต้องการครอบครอง Spice เช่นเดียวกัน พอลที่ถูกหมายหัวจากตระกูลฮาร์คอนเนน จึงต้องร่วมมือกับชาวเฟรเมนที่อาศัยอยู่บนดาวอาร์ราคิส เพื่อช่วยเหลือครอบครัวและผู้คนบนดาวอาร์ราคิสจากน้ำมือของตระกูลฮาร์คอนเนน
เรื่องแรกที่เราอยากจะกล่าวถึงคือ สำหรับผู้ชมท่านใดที่ยังไม่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และคาดหวังว่าจะได้เห็นฉากแอ็กชันสนุกสุดมัน เนื้อเรื่องที่ลุ้นระทึก เราอยากให้เตรียมใจเอาไว้เล็กน้อยว่าคุณอาจจะไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้
เพราะสำหรับผู้ชมที่เคยติดตามผลงานของ Denis Villeneuve มาก่อน โดยเฉพาะผลงานแนวไซไฟอย่าง Arrival และ Blade Runner 2049 คงจะพอสัมผัสได้ถึงลายเซ็นการกำกับของ Denis Villeneuve ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ ทั้งรูปแบบการดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างจะเนิบช้า ค่อยเป็นค่อยไป แต่ก็อัดแน่นไปด้วยรายละเอียดของเนื้อเรื่องที่เข้มข้นและชวนให้เราติดตามตลอดทั้งเรื่อง รวมถึงการเล่าเรื่องที่สลับไปมาระหว่างปัจจุบัน อดีต และอนาคต ความจริงกับภาพนิมิต ไปจนถึงฉากแอ็กชันที่อาจจะไม่ได้ดูหวือหวา สนุกสนาน แต่ก็มีความสมจริงสมจังและดุดันอยู่ในนั้น
ซึ่ง Dune ถือเป็นผลงานที่คงลายเซ็นเฉพาะตัวของ Denis Villeneuve เอาไว้อย่างครบถ้วน ทั้งเรื่องราวความขัดแย้งระหว่างตระกูลอาทรีเดสและตระกูลฮาร์คอนเนน ที่ผู้กำกับเลือกจะชูประเด็นการเมืองให้โดดเด่นมากกว่าเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างฝั่งตัวเอกและตัวร้าย การออกแบบงานสร้างสุดล้ำ งานเมกอัพคอสตูมที่ละเอียดยิบทุกกระเบียดนิ้ว และงานวิชวลเอฟเฟกต์ที่เข้ามาช่วยรังสรรค์โลกเหนือจินตนาการของ Frank Herbert ให้ออกมาสมจริงมากที่สุด
ไปจนถึงงานภาพของ Greig Fraser ผู้กำกับภาพจากภาพยนตร์ Rogue One: A Star Wars Story (2016) และ The Batman (2022) ที่ถ่ายทอดทิวทัศน์สุดยิ่งใหญ่และงดงามของภาพยนตร์ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เสริมด้วยดนตรีประกอบจากปลายปากกาของ Hans Zimmer ที่เคยร่วมงานกับ Denis Villeneuve มาแล้วใน Blade Runner 2049 ซึ่งช่วยผลักดันให้ภาพยนตร์อีพิกมากขึ้นไปกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน แม้ว่าภาพยนตร์จะมีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเนิบช้า แต่ Denis Villeneuve ก็ใช้ข้อดีของความเนิบช้าในการพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับองค์ประกอบต่างๆ ที่อยู่ในจักรวาล Dune ทั้งประวัติความเป็นมาของดาวอาร์ราคิสและชาวเฟรเมน ตำนานความเชื่อและศาสนาที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของเรื่อง ความสำคัญของทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในจักรวาลอย่าง Spice กลุ่มผู้ใช้พลังจิตที่เรียกตนเองว่า Bene Gesserit และความยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิพาร์ดิชาที่เป็นตัวจุดชนวนสงครามทั้งหมด
กล่าวคือ Dune ภาคนี้ กำลังทำหน้าที่ปูพื้นฐานของจักรวาล Dune ให้ผู้ชมได้ทำความรู้จัก พร้อมกับวางปมปัญหาสำคัญของเรื่องเอาไว้ เพื่อเตรียมพาผู้ชมไปสู่เรื่องราวที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นในพาร์ตต่อไป ตามที่ Denis Villeneuve และทีมสร้างวางแผนเอาไว้ตั้งแต่ต้น
อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญที่เราไม่กล่าวถึงคงไม่ได้ คือเหล่าทัพนักแสดงมากความสามารถที่ถ่ายทอดบทบาทของตัวเองออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะ Timothée Chalamet ผู้รับบทเป็น พอล อาทรีเดส ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นตัวละครที่ต้องแบกรับภาพยนตร์เรื่องนี้เอาไว้มากที่สุด ซึ่ง Timothée Chalamet ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครและชักชวนให้ผู้ชมร่วมติดตามการเดินทางของพอลได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
รวมถึงตัวละครที่เราชื่นชอบมากๆ และอยากกล่าวถึงเป็นการส่วนตัวคือ เจสสิก้า ผู้เป็นแม่ของพอล ที่รับบทโดย Rebecca Ferguson จากภาพยนตร์ Mission: Impossible – Fallout (2018) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวละครสำคัญของเรื่อง และ Rebecca Ferguson ก็ถ่ายทอดบทบาทของการเป็นแม่ออกมาได้อย่างมีมิติ
ในภาพรวมแล้ว Dune คือภาพยนตร์ไซไฟที่อัดแน่นไปด้วยประเด็นการเมือง ความเชื่อ ศาสนา และปรัชญา ซึ่งนำเสนอผ่านทัพนักแสดงเจ้าบทบาทและงานสร้างสุดยิ่งใหญ่ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียด รวมถึงการวางปมปัญหาที่ชวนให้เราอยากติดตามต่อในพาร์ตต่อไป
แต่ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ก็มีจุดด้อยในแง่ของการดำเนินเรื่องที่เนิบช้ามากๆ ตามแบบฉบับของ Denis Villeneuve ซึ่งอาจจะทำให้ผู้ชมที่ไม่คุ้นชินหรือไม่ได้ชื่นชอบการเล่าเรื่องสไตล์นี้รู้สึกเบื่อในระหว่างชมได้เช่นเดียวกัน
ซึ่งหากภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เสียงตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั่วโลกแล้วล่ะก็ น่าจะมีโอกาสสูงมากๆ ที่คอภาพยนตร์ไซไฟจะได้ติดตามเรื่องราวของ Dune ซึ่ง Frank Herbert ได้เขียนนิยายชุดไว้ถึง 6 เล่มไปอีกหลายปีอย่างแน่นอน
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: Warner Bros.
อ้างอิง: