Knight Frank สำรวจราคาบ้านหรูในเขตเมือง ‘ดูไบ’ ครองอันดับ 1 พุ่งขึ้นเกือบ 50% ในรอบ 12 เดือน สูงสุดเป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ตามด้วยโตเกียวและมะนิลา ขณะที่นักวิเคราะห์มองสิงคโปร์จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ รับอานิสงส์ทุนและแรงงานหลั่งไหลเข้ามาทำธุรกิจ และจากการเก็บภาษีเฉพาะผู้ซื้อชาวต่างชาติ ส่วนกรุงเทพมหานครไม่แผ่ว ติดโผอยู่ในอันดับ 10 สวนทาง 2 มหานครนิวยอร์กและซานฟรานซิสโกที่ราคาร่วง
รายงานข่าวจาก CNBC ระบุข้อมูลจาก Knight Frank บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่เปิดเผยรายงานว่า ราคาบ้านหรูในดูไบพุ่งขึ้นเกือบ 50% และยังคงรักษาอันดับ 1 เป็นไตรมาสที่ 8 ติดต่อกัน ตามด้วยราคาบ้านในดูไบก็พุ่งสูงขึ้น 225% นับเป็นอัตราสูงเทียบเท่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิดในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2020
ส่วนอันดับรองลงมาที่มีราคาบ้านสูงสุดในเขตเมืองคือ กรุงโตเกียว เพิ่มขึ้น 26.2% ต่อปี ตามด้วยมะนิลา เพิ่มขึ้น 19.9% ต่อปี ขณะที่อัตราการเพิ่มขึ้นของราคาบ้านที่น่าสนใจ ได้แก่ เซี่ยงไฮ้ เพิ่มขึ้น 6.7% ต่อปี และสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.2% ต่อปี
“จากการหลั่งไหลของชาวต่างชาติที่เข้ามาสิงคโปร์ ซึ่งได้รับแรงหนุนจากภาคบริการทางการเงินและอาชีพที่ใช้ทักษะสูง มีผลต่อตลาดการเช่ามากกว่าตลาดการขาย และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเก็บภาษีสำหรับการซื้อของผู้ซื้อชาวต่างชาติ ที่นับตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนชาวต่างชาติที่ซื้อที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์จะต้องเสียภาษีอากรเพิ่มเติมถึง 60% เรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจากอัตราเดิมที่ 30%”
ขณะที่ราคาบ้านฮ่องกงลดลง 1.5% จากปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังที่ยังไม่มีการขายโครงการที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ แม้ว่ารัฐบาลมีความพยายามกระตุ้นยอดขาย โดยเพิ่มอัตราส่วนสินเชื่อเป็น 70% สำหรับอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 15 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (1.9 ล้านดอลลาร์)
Liam Bailey หัวหน้าฝ่ายวิจัยระดับโลกของ Knight Frank กล่าวว่า นักวิเคราะห์มองว่า ขณะที่ผู้ซื้อมีแนวโน้มที่จะได้รับอานิสงส์จากการเปลี่ยนแปลงของความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่ตลาดกลับเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน ราคาบ้านในเขตเมืองที่อันดับลดลง ได้แก่ นิวยอร์ก ซึ่งร่วงลง 3.9% และซานฟรานซิสโก ลดลง 11.1% ส่วนเยอรมนียังคงมีอัตราการพุ่งที่ 15.1% โดยรวมแล้วราคาเฉลี่ยต่อปีเพิ่มขึ้น 1.5% ในตลาด 46 แห่ง
นอกจากนี้เขาตั้งข้อสังเกตว่า ผลลัพธ์จากดัชนีเป็นการยืนยันว่าราคาได้รับการสนับสนุนจากอุปสงค์พื้นฐานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าอุปทานยังคงอ่อนแอหลังจากการหยุดชะงักของโครงการอาคารใหม่ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด รวมถึงการกลับมาของคนงานในเมือง
บวกกับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางของอัตราเงินเฟ้อที่ดูเหมือนจะลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา การปรับราคาในหลายตลาดจึงมีแนวโน้มที่จะเด่นชัดน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อสามเดือนก่อน
อ้างอิง: