×

คณะกรรมการกลั่นกรอง DSI มีมติเอกฉันท์ เคาะคดี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ เข้าข่ายคดีพิเศษ ส่งอธิบดีพิจารณาบ่ายนี้

โดย THE STANDARD TEAM
29.10.2024
  • LOADING...

วันนี้ (29 ตุลาคม) ร.ต.อ. วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เปิดเผยหลังการประชุมกรรมการกลั่นกรองการรับคดีร่วมกับตำรวจสอบสวนกลาง ภายหลังจากที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางส่งเรื่องกรณี ‘ดิไอคอนกรุ๊ป’ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (28 ตุลาคม) เพื่อขอให้ DSI พิจารณารับเป็นคดีพิเศษ

 

ร.ต.อ. วิษณุ ระบุว่า การประชุมวันนี้เรียบร้อยดี โดยจากการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ซึ่งมีการเชิญพนักงานสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมีรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ผู้บังคับการปราบปราม และพนักงานสอบสวนที่เกี่ยวข้องในคดี มาให้ข้อเท็จจริงกับพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ให้คณะกรรมการกลั่นกรองของ DSI พิจารณา ชัดเจนว่าเป็นความผิดที่เข้าข่าย พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน 

 

รวมถึง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งอยู่ในบัญชีท้ายของ พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ คณะกรรมการกลั่นกรองจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ โดยจะรีบเสนออธิบดี DSI พิจารณารับเป็นคดีพิเศษในช่วงบ่ายวันนี้ 

 

โดยพยานหลักฐานที่นำมาสู่มติเป็นเอกฉันท์ของคณะกรรมการกลั่นกรองว่าคดีเข้าข่ายคดีพิเศษคือข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ตำรวจสอบสวนกลางนำมาให้ ทั้งแผนประทุษกรรม, แผนการตลาดจากคอมพิวเตอร์, งบการเงิน รวมถึงพยานหลักฐานอื่นๆ ซึ่งค่อนข้างชัดเจนว่าเป็นความผิด พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน โดยสำนวนที่รับมาจากตำรวจที่จะเสนออธิบดี DSI พิจารณาบ่ายนี้จะแยกเป็นอีกคดี ซึ่งเป็นคนละส่วนกับคดีฟอกเงินที่ DSI รับดำเนินการก่อนหน้านี้ เพราะถือว่าเป็นเหตุการณ์ต่างกรรมกัน 

 

พร้อมยืนยันว่าจะไม่ใช่การนับหนึ่งใหม่แต่นับก้าวไปเลย เป็นการทำงานร่วมกันกับตำรวจสอบสวนกลางในลักษณะการบูรณาการ ซึ่งหลังจากรับเป็นคดีพิเศษแล้ว ตำรวจก็ยังมาสอบปากคำร่วมได้ การรับเป็นคดีพิเศษจะไม่ใช่การตัดอำนาจของตำรวจ แต่เป็นการทำงานคู่ขนานกันอย่างที่ทำมาตลอด

 

ร.ต.อ. วิษณุ กล่าวชื่นชมการทำงานของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางที่ใช้เวลาจำกัดรวบรวมพยานหลักฐานที่มีประโยชน์และมีประสิทธิภาพ จนกระทั่งส่งเรื่องมาให้ DSI เป็นเจ้าภาพ ซึ่งขณะนี้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางก็ยังส่งข้อมูลเพิ่มเติมมาให้กับ DSI อยู่ตลอดเวลา 

 

ส่วนจะต้องสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมด้วยหรือไม่ ร.ต.อ. วิษณุ ระบุว่า จะประชุมและพิจารณากันว่าส่วนไหนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางยังต้องการทำ และตอนนี้ก็ยังช่วยกันทำ ซึ่งส่วนตัวก็ยังชื่นชมเรื่องของการออกหมายจับที่ตำรวจสอบสวนกลางทำได้รวดเร็ว เป็นการป้องกันการทำลายหลักฐาน เมื่อผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวแล้ว DSI ก็สามารถพิจารณาพยานหลักฐานอื่นๆ หากไปถึงตรงไหนจะดำเนินการทันที 

 

ส่วน DSI จะออกหมายจับรวดเร็วเหมือนตำรวจสอบสวนกลางหรือไม่ ร.ต.อ. วิษณุ ระบุว่า ต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน ซึ่งการจะออกหมายจับ พยานหลักฐานต้องมีตามสมควร และ DSI จะพิจารณาร่วมกับพนักงานสอบสวนของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางด้วย

 

ซึ่งการออกหมายจับผู้ต้องหาล็อตที่สอง ร.ต.อ. วิษณุ ไม่ได้ตอบชัดว่าจะออกหมายจับภายในระยะเวลาเท่าไร แต่ยืนยันว่าจะทำให้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยหน้างานที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางทำมาและ DSI รับช่วงต่อ ยืนยันว่าต้องทันก่อนฝากขังผัดสุดท้ายของผู้ต้องหา ซึ่งหากเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนจะได้เพียง 4 ฝาก แต่ถ้าพิจารณาความผิดจนสามารถแจ้งข้อหาเพิ่มใน พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน จะรวมแล้วได้ 7 ฝาก

 

ซึ่งต้องพิจารณาให้รวดเร็ว รอบคอบ และมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะมีหนังสือเชิญอัยการสูงสุดมาเป็นที่ปรึกษาในคดี รวมถึงเชิญผู้เชี่ยวชาญทุกด้านที่เกี่ยวข้องมาดูเรื่องข้อต่อสู้ของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อให้คดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ส่วนการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแถวสอง ร.ต.อ. วิษณุ ระบุว่า จะมาพิจารณาว่าอะไรที่มีลักษณะพฤติกรรมร่วมมากที่สุด ซึ่งต้องดูเจตนาด้วย ส่วนที่ทนายของบอสพอลบอกว่าจะส่งข้อมูลกลุ่มแม่ข่ายมาให้ก็เป็นเรื่องที่ดี จะต้องมาดูว่ามีลักษณะอย่างไรและมีพฤติการณ์สามารถนำมาใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้อย่างไรได้บ้าง ยืนยันว่าอะไรที่ส่งมาแล้วเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีก็ยินดี แต่เอกสารทั้งหมดต้องสอดรับกับพยานหลักฐานที่อ้างและสอดรับกันทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ว่าเป็นคนละทิศทางกัน 

 

ซึ่งลักษณะพฤติกรรมร่วมขอพิจารณาเป็นรายไป เพราะตามกฎหมายใช้คำว่า “รู้หรือควรรู้” ดังนั้นถ้ารู้แต่อ้างว่าไม่รู้ก็จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาด้วย รวมถึงต้องพิสูจน์ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น เส้นทางการเงิน ซึ่งจะบอกเองว่าใครได้รับประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาล็อตแรกซึ่งอยู่ในเรือนจำ 

 

ส่วนการรับแจ้งความจากผู้เสียหาย ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังรับดำเนินการอยู่ ซึ่งหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรจะแจ้งให้ทราบต่อไป DSI และตำรวจสอบสวนกลางยังทำงานร่วมกันในสองมิติ คือดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไปและติดตามยึดทรัพย์เพื่อส่งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการ

 

ส่วนกรณีเซิร์ฟเวอร์ที่ยึดได้ รวมถึงข้อมูลหลักฐานต่างๆ มีการเก็บเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไว้ในสำนวน ส่วนนาฬิกาที่ทนายของบอสพอลบอกว่าเป็นของบอสออฟนั้น ขณะนี้ผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมาว่าเป็นของแท้หรือของปลอม ซึ่งส่วนตัวมองไว้หลายประเด็น หากเป็นของแท้ก็จะเป็นประโยชน์กับผู้เสียหาย แต่หากเป็นของปลอมก็เตรียมยึดเป็นของกลางในคดี เพราะมองได้ว่าอาจเป็นการใช้จัดฉากเพื่อหลอกลวงประชาชน ส่วนรถหรูต่างๆ ที่ตำรวจสอบสวนกลางทยอยยึดไว้ก่อนหน้านี้ก็มีการบูรณาการร่วมกัน ซึ่งสุดท้ายจะต้องส่งไปให้ ปปง. ดำเนินการทั้งหมด

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X