วานนี้ (15 กุมภาพันธ์) ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งที่ใช้ชื่อบัญชีว่า @rermthonk ได้เปิดเผยเรื่องราวที่ทำให้สังคมต้องตั้งคำถาม และเป็นการชี้ให้เห็นถึงการเลือกปฏิบัติ รวมถึงความเข้าใจผิดต่อผู้ที่มีสถานะเป็น HIV หลังโรงเรียนเอกชนสอบขับรถย่านอุดมสุขปฏิเสธที่จะสอนขับรถให้เขา ทั้งๆ ที่ได้มีการตกลงจ่ายค่าเรียน และวางแผนตารางเวลาชีวิตกับกิจกรรมนี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยระบุว่า
“เป็นวันที่โกรธที่สุดในชีวิต โกรธจนร้องไห้ เพราะเราถูกโรงเรียนสอนขับรถแห่งหนึ่งปฏิเสธการสอนเรา ทั้งที่จ่ายเงินและตรวจสายตาเรียบร้อยแล้ว เพียงเพราะแค่เราระบุในใบรับรองแพทย์ว่ามีสถานะเป็น HIV+ Undetectable” ผู้ใช้ทวิตเตอร์ดังกล่าวยังระบุอีกว่า
เรื่องมีอยู่ว่าวันนี้เข้าไปตรวจสายตาก่อนเข้าเรียนขับรถในวันพรุ่งนี้ เราได้ติดเอาใบรับรองแพทย์ที่ทางโรงเรียนขอก่อนเข้าเรียน ซึ่งเราระบุโรคประจำตัวว่าเราเป็นผู้อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV ซึ่งเราเป็นมาตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย และรับประทานยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จน Undetectable
ทันทีที่เราตรวจสายตา วัดการตอบสนองใดๆ ผ่านเรียบร้อย ทางโรงเรียนได้ขอใบรับรองแล้วให้เรานั่งรอประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นพนักงานที่รับเรื่องก็เดินมาแจ้งว่าผู้บริหารขอสายเรา และอยากสอบถามเพิ่มเติมถึงสถานะของเรา
โดยเขาได้ถามเราว่า คำว่า Undetectable คืออะไร ซึ่งเราได้อธิบายว่าคือสถานะที่เชื้อต่ำจนไม่สามารถตรวจพบได้ และได้รับการรักษามาตลอดอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากนั้นผู้บริหารของโรงเรียนบอกว่าได้คุยกับครูผู้สอนในโรงเรียนแล้ว และทางครูไม่สะดวกใจที่จะสอน จึงอยากขอคืนเงินเต็มจำนวน ซึ่งเราก็อธิบายต่อว่ามันไม่มีผลอะไรกับการขับขี่เลยนะ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ทางโรงเรียนยังยืนยันว่าได้คุยกับครูแล้วจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการตกลงตาราง จัดหาครูผู้สอน กำหนดวันสอบไว้เรียบร้อย และขอยกเลิกทุกอย่าง พร้อมกับขอโทษและคืนเงินให้เราไปโรงเรียนอื่น
ซึ่งเราได้อธิบายเพิ่มและย้ำว่าเราปลอดภัยจริงๆ สุขภาพแข็งแรง ตรวจมาแล้วเมื่อต้นปี ทุกอย่างปกติดีด้วยซ้ำ สุขภาพแข็งแรงจริงๆ และเราใช้เวลาหาโรงเรียนนานพอสมควร กว่าจะมาลงที่นี่ที่ทั้งใกล้บ้านและโอเคกับตารางเรียน
แต่ทางผู้บริหารบอกว่ายังไม่สะดวกสอนอยู่ดี เราเลยตัดสินใจขอเงินคืนโดยเร็วที่สุด และอยากออกไปจากที่นั่นมากๆ
ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายนี้ยังระบุอีกว่า สิ่งที่เราไม่พอใจที่สุดคือการขอใบรับรองแพทย์ โดยแพทย์ได้รับรองสถานะของเราเพื่อออกใบรับรองสำหรับสมัครเรียนขับรถเรียบร้อย ซึ่งแปลว่าปลอดภัยสามารถเข้าเรียนได้ ไม่เข้าข่ายโรคเรื้อน วัณโรค โรคเท้าช้าง หรือทุพพลภาพ แต่โรงเรียนกลับปฏิเสธกะทันหัน ทั้งที่เราปฎิบัติตามขั้นตอนทุกอย่าง
สิ่งที่อยากจะบอกและยอมเปิดเผยสถานะตัวเองในที่สาธารณะ ไม่ใช่อยากได้ความสงสารเห็นใจ แต่อยากให้รู้ว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจเรื่อง HIV/AIDS และยังมี Stigma อีกเยอะจริงๆ ที่ไม่ถูกพูดถึงอย่างจริงจัง
สิ่งที่แย่กว่าตัวโรคและไวรัสคือความไม่เข้าใจที่สังคมมีต่อพวกเรา เราไม่ใช่ตัวประหลาด เราได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ครอบครัวรับรู้ เพื่อนสนิทรับรู้ พี่ที่ทำงานรับรู้ และเรายังใช้ชีวิตตามปกติได้
“ถ้าใครได้อ่านทวีตนี้ลองสำรวจตัวเองและคนรอบตัวว่ามีความรู้เกี่ยวกับ HIV/AIDS มากน้อยขนาดไหน คุณไม่ผิดที่คุณไม่รู้ มันสามารถศึกษาเพิ่มเติมและนำไปสู่ความเข้าใจและการอยู่ร่วมกันแบบปกติได้ แต่อย่าปิดประตูใส่เราเลย เราไม่ใช่ตัวประหลาด เราพร้อมที่จะอธิบาย ถ้าคุณยอมรับฟังและเข้าใจ เพราะเราเชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ ทั้งการตีตรา กีดกัน และแบ่งแยก”
หลังการเปิดเผนเรื่องราวดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้เข้ามารีทวีตดังกล่าวจำนวนมาก พร้อมตอบกลับด้วยข้อความให้กำลังใจ ขณะที่ส่วนหนึ่งได้ร่วมแชร์ประสบการณ์ของตนเองที่ถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุที่มีภาวะ HIV เช่นเดียวกับผู้ใช้ทวิตเตอร์รายดังกล่าว
.
บทความของ THE STANDARD ที่ชื่อว่า เอดส์กับเอชไอวี คนละเรื่อง…ยา PrEP และ PEP คืออะไร เรียนรู้เพื่ออยู่ห่างไกลเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ ได้สรุปความเข้าใจที่ล้าสมัยเกี่ยวกับเรี่องนี้ไว้ว่า
มุมมองเรื่อง ‘เชื้อเอชไอวี’ หรือ ‘โรคเอดส์’ ในความเข้าใจเดิมๆ ของคนไทย คือ การพบเชื้อเอชไอวีหมายความว่าคุณเป็นโรคเอดส์และจะต้องตายเท่านั้น ซึ่งเป็นความคิดที่ล้าสมัยไปเสียแล้ว
เชื้อเอชไอวีหรือ Human Immunodeficiency Virus นั้นไม่ใช่โรค แต่เป็นไวรัสที่จะเข้าไปกัดกินทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง ส่วนโรคเอดส์หรือ Acquired Immune Deficiency Syndrome คืออาการระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้อีกต่อไป
การติดเชื้อเอชไอวีอาจจะไม่พัฒนาไปสู่การเป็นโรคเอดส์เสมอไปหากดูแลรักษาสุขภาพอย่างดี และถึงแม้ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการทางการแพทย์ใดๆ ที่จะสามารถรักษาเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ให้หายขาดได้ แต่ผู้ที่ติดเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุขด้วย ‘วิธีการรักษาด้วยการรับยาต้าน’ (Antiretroviral Therapy)
หมายเหตุ: THE STANDARD ได้รับอนุญาตจากผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวให้เผยแพร่ข้อมูลได้ทั้งหมด รวมถึงการให้ที่มาของข้อมูลที่ระบุชื่อบัญชีผู้ใช้ด้วย