วานนี้ (28 มีนาคม) นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงกรณีข่าวสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 หายจากโรงไฟฟ้าจังหวัดปราจีนบุรี และถูกนำเข้าเตาหลอมเหล็กในโรงงานหลอมเหล็ก ต่อมาพบว่ามีการขนส่งเถ้าโลหะที่มีการปนเปื้อนสารดังกล่าวในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ให้มีความวิตกและกังวลใจเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพนั้น
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้มอบหมายให้สำนักอนามัยสิ่งแวดล้อม, สำนักสุขาภิบาลอาหารและน้ำ, กองประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ พร้อมด้วยศูนย์อนามัยที่ 6 จังหวัดชลบุรี ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบและเฝ้าระวังสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 ในการเตรียมความพร้อมและกำหนดมาตรการฉุกเฉินรับมือกรณีเกิดอุบัติภัยจากสารเคมีในพื้นที่ตั้งแต่เริ่มต้น
นพ.สุวรรณชัยกล่าวต่อไปว่า ได้สุ่มเก็บตัวอย่างอาหารและน้ำบริเวณโดยรอบชุมชน โกดัง และที่เก็บฝุ่นเหล็กดังกล่าว ในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตร เช่น ปลาทะเลสด ผักและผลไม้ที่ปลูกในพื้นที่ น้ำประปาที่ใช้ในครัวเรือน น้ำจากตู้น้ำดื่มหยอดเหรียญ และน้ำบ่อตื้นที่ใช้การรดผักและผลไม้ พร้อมทั้งจัดส่งตัวอย่างดังกล่าวไปตรวจวิเคราะห์ ณ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) เพื่อให้ทราบผลการตรวจวิเคราะห์และสื่อสารข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องแก่ประชาชน
ทั้งนี้ จากผลการสำรวจความเห็นของประชาชนต่อเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านทางอนามัยโพล ตั้งแต่วันที่ 23-24 มีนาคม 2566 จำนวน 379 คน พบว่า ประชาชนได้ทราบข่าวและรู้สึกกังวลมากถึงร้อยละ 75.5 ในขณะที่ร้อยละ 23.5 ทราบข่าวแต่ไม่รู้สึกกังวลหรือไม่สนใจข่าวนี้ และร้อยละ 1 ไม่ทราบข่าว
สำหรับเหตุผลที่ประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับซีเซียม-137 ที่พบมากที่สุดคือ การแพร่กระจายและตกค้างในสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 93.7 รองลงมาคือ กังวลถึงผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ร้อยละ 89.8 และไม่มั่นใจในการดูแลจัดการของโรงงาน กลัวเกิดเหตุการณ์ซ้ำ ร้อยละ 62.9
นอกจากนี้ประชาชนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาว ร้อยละ 80.2, ข้อมูลด้านความปลอดภัยของอาหาร ผัก ผลไม้ และน้ำดื่ม ร้อยละ 77 และวิธีลดและป้องกันการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและการเข้าสู่ร่างกาย ร้อยละ 73.6
สำหรับสิ่งที่ประชาชนต้องการให้หน่วยงานสาธารณสุขดำเนินการมากที่สุดคือ การเฝ้าระวังตรวจการตกค้างในอาหารและน้ำ ร้อยละ 80.2, การตรวจสุขภาพกรณีที่รู้สึกมีอาการผิดปกติ ร้อยละ 78.6, และการสื่อสารและให้คำแนะนำด้านสุขภาพ ร้อยละ 77.3