วันนี้ (11 เมษายน) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จังหวัดนนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ว่า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่นำมาฉีดในประเทศไทย ทั้งของ Sinovac และ AstraZeneca มีประสิทธิภาพดีมากในการลดความรุนแรงของโรค ช่วยป้องกันการป่วยที่มีอาการมาก และป้องกันการเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต่างจากวัคซีนของ Moderna, Pfizer และอื่นๆ ส่วนการป้องกันอาการน้อยถึงปานกลาง วัคซีน Sinovac ป้องกันได้ 78 เปอร์เซ็นต์ AstraZeneca ได้ 76 เปอร์เซนต์ ขอให้มั่นใจในประสิทธิภาพวัคซีนที่นำมาใช้ในประเทศไทย
สำหรับคำถามว่าฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสกลายพันธุ์ได้หรือไม่นั้น ไวรัสกลายพันธุ์ที่พบขณะนี้เป็นสายพันธุ์อังกฤษ B.1.1.7 เป็นอาร์เอ็นเอไวรัส มีการกลายพันธุ์ในตำแหน่งส่วนที่จับพื้นผิวเซลล์ ทำให้เกาะติดเซลล์ได้แน่น เพิ่มจำนวนง่าย ปริมาณไวรัสมาก กระจายโรคเร็ว ส่วนความรุนแรงไม่ต่างจากสายพันธุ์เดิมที่เคยพบในไทย ดังนั้นวัคซีน AstraZeneca และวัคซีนอื่นๆ มีประสิทธิภาพในการป้องกันไม่แตกต่างจากสายพันธุ์เดิม ส่วนสายพันธุ์แอฟริกาใต้และบราซิล วัคซีนอาจมีประสิทธิภาพลดลงบ้าง แต่ยังป้องกันความรุนแรงของโรคได้ สิ่งสำคัญคือ ทุกคนต้องช่วยกันป้องกันสายพันธุ์กลายพันธุ์หลุดเข้าไทย แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาไทยจะกักตัวผู้เดินทางจากต่างประเทศ ทำอย่างเต็มที่ ก็ยังพบสายพันธุ์อังกฤษเข้ามา และเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ในไทยต่อจากนี้ ขอให้การ์ดอย่าตก เข้มมาตรการป้องกันตนเองต่อไป
ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า การจะฉีดให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในประชากรโลกที่มี 7 พันล้านคน ต้องฉีดให้ได้ 1 หมื่นล้านโดส หรือไม่น้อยกว่า 5 พันล้านคน ขณะนี้ทั่วโลกฉีดแล้วมากกว่า 700 ล้านโดส เฉลี่ย 15 ล้านโดสต่อวัน ต้องใช้เวลา 2 ปี จึงจะครบเป้าหมาย ต้องเร่งฉีด 30 ล้านโดสต่อวัน จึงจะบรรลุเป้าหมายใน 1 ปี ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้มากคือ อเมริกา จีน โดยประเทศที่ฉีดครอบคลุมมากสุดคือ อิสราเอล ใช้วัคซีน Pfizer ทำให้ผู้ติดเชื้อที่เคยสูงสุด 6,000 รายต่อสัปดาห์ เหลือหลักร้อยรายต่อสัปดาห์ อัตราเสียชีวิตเหลือหลักสิบรายต่อสัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการฉีดวัคซีนในประชาชนหมู่มาก ส่วนการฉีดวัคซีน AstraZeneca ที่ประเทศอังกฤษ ที่ระดมฉีดประชาชนจำนวนมาก การป่วยและเสียชีวิตลดลงอย่างมาก ขณะที่ฝรั่งเศส เยอรมนี ที่หยุดฉีดบางช่วงเนื่องจากกังวลเรื่องผลข้างเคียงวัคซีน เกิดการระบาดระลอก 3
ขณะนี้ประชาชนบางส่วนอยู่ในภาวะตระหนก ขอให้ตรวจสอบว่าตัวเองเสี่ยงสูงหรือต่ำ ซึ่งระลอกแรกเห็นชัดว่าผู้เสี่ยงสูงคือคนในครอบครัว จะต้องไปตรวจหาเชื้อ ส่วนการสัมผัสในที่ทำงาน จากการศึกษาพบว่ามีโอกาสติดในที่ทำงานน้อยมาก จะติดในผู้สัมผัสใกล้ชิด เช่น กินข้าวด้วยกัน พูดคุยสนทนากัน สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย ถือว่าเสี่ยงสูง ควรไปตรวจหาเชื้อ ส่วนผู้ร่วมงานคนอื่นๆ อาจเสี่ยงบ้าง ขอให้สังเกตอาการเคร่งครัด การปฏิบัติตน ใส่หน้ากาก 100% ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างเป็นเวลา 14 วัน สำหรับอาการผื่นขึ้นนั้นพบได้จากหลายสาเหตุ หากเป็นโควิด-19 จะต้องมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น เจ็บคอ ไข้ ไอ อาการระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นอาการหลัก
ศ.นพ.ยงกล่าวต่อว่า ส่วนข้อสงสัยวัคซีนโควิด-19 ในภาวะฉุกเฉินที่ใช้ขณะนี้ เป็นวัคซีนที่ไม่สามารถรอการพัฒนาแล้วขึ้นทะเบียนในภาวะปกติ ซึ่งต้องใช้เวลา 3- 5 ปี เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของวัคซีน ดังนั้นเมื่อไม่สามารถรอได้ จึงต้องคำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้จากวัคซีน กับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นจากวัคซีน หากมีประโยชน์มากกว่า จึงขออนุมัติในภาวะฉุกเฉิน และมีการศึกษาติดตามเรื่องความปลอดภัยวัคซีนอย่างต่อเนื่อง เมื่อมั่นใจแล้วจึงจะขออนุญาตอนุมัติการใช้ในภาวะปกติ ซึ่งต่างจากวัคซีนที่อนุมัติใช้ในภาวะปกติ เช่น วัคซีนใหม่ในเด็ก พบอาการข้างเคียงน้อยมากหรือแทบไม่มีไข้เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่วัคซีนโควิด-19 ไม่ว่า AstraZeneca, Sinovac ฉีดแล้วอาจจะมีอาการข้างเคียงบ้าง เช่น มีไข้ ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อตัว ต้องยอมรับ เมื่อเป็นการพัฒนาในภาวะฉุกเฉิน บริษัทผู้ผลิตแจ้งแล้วว่าหากเกิดอะไรในภาวะฉุกเฉิน ฝ่ายอนุญาต (รัฐบาล) จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ และต้องรอไปอีกสักระยะหนึ่ง วัคซีนโควิด-19 นี้ถึงจะอนุมัติให้ใช้ในภาวะปกติได้
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล