หุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ตลาด ไม่ว่าจะเป็น Dow Jones, Nasdaq และ S&P 500 ที่พากันปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนสร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ (All Time High) แม้ว่าจะปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเริ่มมีสัญญาณเตือนจากนักวิเคราะห์ในสถาบันระดับโลกว่าควรระมัดระวัง เพราะตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะฟองสบู่แตกในเร็ววัน
นาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า การปรับเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ นั้นหากพิจารณาในมุมของความถูกหรือแพง โดยประเมินจากอัตราส่วนกำไรต่อราคาหุ้น (P/E) ถือว่าค่อนข้างแพง โดยปัจจุบันค่า Forward P/E ของหุ้นสหรัฐฯ น่าจะอยู่ราว 20 กว่าเท่า ซึ่งค่อนข้างสูง และเริ่มกลับค่า P/E ในปี 2000 ซึ่งเป็นยุคฟองสบู่ดอตคอม
อย่างไรก็ตาม การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนียังมาจากหุ้นไม่กี่บริษัทเท่านั้น ซึ่งสะท้อนถึงการกระจุกตัว หมายความว่าความถูกแพงไม่ได้เท่ากันทุกบริษัท โดยในดัชนี S&P 500 ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมาพบว่า หุ้น 5 อันดับแรกที่มาร์เก็ตแคปสูงสุด มีผลต่อดัชนีสูงถึง 26% ซึ่งเป็นอัตราที่สูงสุดในรอบ 5-10 ปีย้อนหลัง
และหากพิจารณาในมุมของโมเมนตัมการสร้างผลตอบแทนจะพบว่า การปรับขึ้นของหุ้นสหรัฐฯ ครั้งนี้มีเหตุผลรองรับอยู่คือ ส่วนต่างของผลตอบแทนจากตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น โดยปัจจุบันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (10 ปี) ที่อยู่ระดับ 1% กว่า เทียบกับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นที่ระดับ 4% กว่า ทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง
“ในส่วนของคำแนะนำลงทุนนั้น บลจ.กสิกรไทย ได้แนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปสู่ตลาดที่คุ้มค่ากับความเสี่ยงมากกว่า เช่น ตลาดหุ้นจีน โดยตลาดหุ้นจีนซื้อขายบนค่า P/E ราว 16-17 เท่า และกำไร บจ. คาดว่าจะเติบโต 15% จากปีที่แล้วที่ไม่มีการเติบโต ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายบนค่า P/E 20-25 เท่าโดยประมาณ ส่วนกำไร บจ. ปีนี้ น่าจะเติบโต 25% จากปีที่แล้วที่ติดลบ 7%”
วิริยะชัย จิตตวัฒนรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย Investment Management บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะปรับเพิ่มขึ้นต่อได้ เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมทั้งกำไร บจ. ที่มีการคาดการณ์จากหลายสถาบันว่าจะได้เห็นการเติบโตช่วง 10-19% โดยประมาณ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่กลับมาอยู่ในความสนใจของตลาดอีกครั้ง ซึ่งข้อมูลทางสถิติระบุว่า ในช่วงแรกๆ ที่อัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้นนั้น ตลาดหุ้นมักจะเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าสินทรัพย์อื่นเสมอ
อีกทั้งแนวโน้มผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว (Bond Yield) ที่เริ่มปรับสูงขึ้น ทำให้เกิดแรงขายในตลาดพันธบัตรค่อนข้างมาก ซึ่งเม็ดเงินตรงนั้นน่าจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเช่นกัน
“จึงมองว่าในช่วงนี้การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจ และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ แต่ยอมรับว่า Valuation หุ้นสหรัฐฯ ไม่ได้ถูก ฉะนั้นสำหรับคนที่มีการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่แล้ว อาจจะอาศัยจังหวะในช่วงไตรมาส 2-3 ขายทำกำไร เพื่อรอดูทิศทางค่าเงินดอลลาร์ในช่วงครึ่งปีหลังว่าจะอ่อนค่าลงตามที่หลายสถาบันคาดการณ์หรือไม่”
ขณะที่ สาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีในปี 2564 แต่อาจจะไม่มากเท่ากับปี 2563 เนื่องจากนโยบายการเงินและการคลังยังเน้นการอัดฉีดเงินเข้ามาสู่ระบบ ทำให้สภาพคล่องล้น และวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูง ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยเองก็จะยังอยู่ในระดับที่ต่ำอีกนาน
นอกจากนี้ยังมีความคาดหวังเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก หลังจากที่เริ่มได้รับวัคซีนและเกิดภูมิคุ้มกันเชิงหมู่ (Herd Immunity) ที่มาทำให้ Sentiment ของตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวในทิศทางบวกตลอดทั้งไตรมาส 1 นี้ โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ และเอเชียเหนือ
อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลังมองว่า จะมีประเด็นค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่น่าจะกลับไปอ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ โดยอาจจะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียเพิ่ม
“ตอนนี้จึงเป็นจังหวะการปรับพอร์ตที่น่าสนใจ สำหรับนักลงทุนที่มีการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ อยู่แล้ว ก็เหมาะจะขายทำกำไรบางส่วน และแบ่งไปลงทุนในหุ้นตลาดเกิดใหม่ที่จะได้อานิสงส์จากฟันด์โฟลวในช่วงครึ่งปีหลัง”
ทางด้าน วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่า โดยปกติแล้วเมื่อดัชนีทำนิวไฮ จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง จึงคาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในระยะสั้น ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อ
โดยการปรับขึ้นรอบนี้มาจากความคาดหวังเชิงบวกของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูง, การเติบโตของ GDP ในอัตรา 5%, การคงดอกเบี้ยนโยบายในระดับต่ำ และการทำ QE อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็มีความเสี่ยงรออยู่เช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะปรับขึ้นได้ในระยะสั้นเท่านั้น
“แนะนำให้นักลงทุนที่มีการลงทุนในสหรัฐฯ ขายเพื่อทำกำไรบางส่วน และปรับมุมมองการลงทุนจากการลงทุนตามภูมิภาค เป็นลงทุนตาม Themetic โดยให้เน้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเทคโนโลยี นวัตกรรม และการแพทย์ ซึ่งจะให้ผลตอบแทนที่มั่นคงกว่า”
กองทุนหุ้นสหรัฐฯ 10 อันดับแรกที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล