×

กลุ่มโรงกลั่นอาจกำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นอีกครั้ง หลังภาวะอุปทานส่วนเกินเริ่มผ่อนคลายเข้าสู่จุดสมดุล หุ้น TOP นำพุ่ง 5%

10.03.2022
  • LOADING...
กลุ่มโรงกลั่นอาจกำลังเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นอีกครั้ง หลังภาวะอุปทานส่วนเกินเริ่มผ่อนคลายเข้าสู่จุดสมดุล หุ้น TOP นำพุ่ง 5%

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นวันนี้ (10 มีนาคม) นำโดย บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง หรือ SPRC และ บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP ปรับตัวขึ้นกว่า 5% ในช่วงเช้า ขณะที่ บมจ.เอซโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO, บมจ.ไออาร์พีซี หรือ IRPC และ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP ต่างปรับตัวขึ้นได้ 2-5% 

 

จักรพงศ์ เชวงศรี ผู้อำนวยการอาวุโส บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า การปรับตัวขึ้นของหุ้นโรงกลั่นตั้งแต่วานนี้เป็นผลจากประเด็นที่จีนมีคำสั่งให้โรงกลั่นของรัฐหยุดการส่งออกน้ำมันดีเซลและแก๊สโซลีน โดยจะเริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 เพื่อป้องกันความเสี่ยงของอุปทานขาดแคลนในประเทศ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเรื่องของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน 

 

ปีที่ผ่านมาจีนส่งออกน้ำมันสำเร็จรูป 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน การที่โรงกลั่นของรัฐไม่ส่งออกจะทำให้อุปทานหายไปอย่างน้อย 8-9 แสนบาร์เรลต่อวัน ทำให้ตลาดในภูมิภาคตึงตัว ประกอบกับช่วงนี้มีความต้องการน้ำมันดีเซลจากยุโรปสูงมาก เพื่อนำไปทดแทนราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับขึ้นอย่างรุนแรง 

 

ล่าสุดค่าการกลั่นสิงคโปร์พุ่งขึ้นมาถึง 17-18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเมื่อวานที่ 11 ดอลลาร์ และปีก่อนที่อยู่เพียง 3-4 ดอลลาร์ แม้ว่า Crude Premium จะปรับขึ้นตามมาอยู่ในระดับ 10 ดอลลาร์ แต่เมื่อหักลบกันแล้วค่าการกลั่นยังคงเพิ่มขึ้นสูงกว่า

 

“ในปีหน้ามีโอกาสที่หุ้นโรงกลั่นจะเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ เดิมทีมองว่าอาจเป็นปี 2567 แต่หากจีนหยุดส่งออกต่อเนื่อง อาจทำให้อุตสาหกรรมเข้าสู่ภาวะสมดุลเร็วกว่าที่คิดไว้”

 

สำหรับไตรมาสแรกค่าการกลั่นเฉลี่ยน่าจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 6 ดอลลาร์ จากปีก่อนที่เพียง 3-4 ดอลลาร์ และแนวโน้มหลังจากนี้มีโอกาสที่ค่าการกลั่นจะขยับขึ้นต่อไปสู่ระดับ 8-9 ดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยให้กำไรของกลุ่มโรงกลั่นเพิ่มขึ้นมาก 

 

“ก่อนหน้านี้ที่ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นถูกกดดัน นักลงทุนอาจมองว่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้นกดดันต้นทุน แต่จริงๆ แล้วบริษัทสามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ หากสถานการณ์รัสเซียและยูเครนยืดเยื้อต่อไป โรงกลั่นก็อาจเข้าสู่จุดสมดุลเร็วขึ้น จากก่อนหน้าที่เป็น Oversupply” 

 

ด้าน นารี อภิเศวตกานต์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ประเมินว่า ราคาหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่ปรับขึ้นแรงในวันนี้เป็นผลจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. ค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และ 2. จีนประกาศไม่ส่งออกน้ำมันดีเซลและแก๊ซโซลีน ทำให้สเปรดมีโอกาสจะดีขึ้นอีก 

 

ทั้งนี้ สำนักบริหารสารสนเทศพลังงานของสหรัฐอเมริกา (EIA) คาดอุปสงค์น้ำมันดิบตลาดโลกปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 100.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่อุปทานเพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ 101.5 ล้านบาร์เรล ซึ่งการเพิ่มขึ้นของปริมาณน้ำมันจะอยู่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากการผลิตเพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ เป็นหลัก ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน ส่วนกลุ่ม OPEC การขยายกำลังการผลิตยังเป็นไปตามแผนที่วางไว้

 

ขณะที่อุปสงค์การใช้น้ำมันสำเร็จรูปทั้งแก๊สโซลีนและดีเซลปัจจุบันได้กลับสู่ภาวะปกติก่อนเกิดโควิดแล้ว หลังการคลายล็อกดาวน์ในประเทศต่างๆ ขณะที่ในส่วนน้ำมันเครื่องบินคาดจะกลับสู่ภาวะปกติได้ราวครึ่งปีหลังของปี 2566

 

ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC ที่มีกำลังการผลิตราว 10 ล้านบาร์เรลต่อวัน และมีการส่งออกราว 5% ของอุปทานน้ำมันในตลาดโลก รวมถึงการผลิตแก๊สธรรมชาติเพื่อส่งออกไปยุโรปด้วย โดยตลาดส่งออกหลักคือจีนและยุโรป คาดว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับขึ้นได้จากการที่ยุโรปแบนการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียด้วย

 

สำหรับราคาหุ้นของบริษัทต่างๆ ในกลุ่มตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา BCP ปรับขึ้นได้มากสุด +19.8% ถัดมาคือ ESSO +7.5%, TOP +7.1% ในขณะที่ IRPC และ SPRC ยังคงติดลบ 4.7% และ 8.2% ตามลำดับ 

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X