ยุบสภา: เครื่องมือคลี่คลายวิกฤตการเมือง
การ ‘ยุบสภา’ ถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง การยุบสภาจึงไม่ใช่เพียงการยุติอายุของสภาเท่านั้น แต่ยังเป็น ‘เครื่องมือทางการเมือง’ ที่ใช้เพื่อคลี่คลายทางตัน ความขัดแย้ง หรือคืนอำนาจการตัดสินใจกลับไปสู่ประชาชนผ่านการเลือกตั้งใหม่
ยุบสภาคืออะไร และทำไมต้องยุบสภา
ในเชิงหลักการ การยุบสภาเป็นมาตรการที่ใช้เมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ หรือความขัดแย้งภายในสภาเองจนไม่สามารถผลักดันกฎหมายสำคัญได้
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลายฉบับล้วนบัญญัติเรื่องการยุบสภาไว้เป็นกลไกตามครรลองประชาธิปไตย โดยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน กำหนดไว้ใน มาตรา 103 ว่า พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ โดยการยุบสภาจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
การยุบสภาต้องตราเป็น พระราชกฤษฎีกา และในเหตุการณ์เดียวกันจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
องค์ประกอบทางกฎหมายของการยุบสภา
เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ สามารถสรุปสาระสำคัญของการยุบสภาได้ 6 ประการ คือ
1.การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ แต่ต้องกระทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
2.ต้องตราเป็นพระราชกฤษฎีกายุบสภา
3.ยุบสภาได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
4.ต้องกระทำก่อนสภาสิ้นอายุ
5.การยุบสภาทำให้สมาชิกภาพของ สส. สิ้นสุดลงทันที
6.การยุบสภานำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่
ยุบสภา: กลไกถ่วงดุลอำนาจบริหาร-นิติบัญญัติ
ในโครงสร้างการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยตามรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วย 3 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายตุลาการ ซึ่งถูกออกแบบให้มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) กับฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) มีลักษณะเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น กล่าวคือ ประชาชนเลือก สส. และ สส. มีบทบาทในการเลือกผู้นำฝ่ายบริหาร
อย่างไรก็ตาม ภายใต้รัฐธรรมนูญปัจจุบัน สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ยังมีอำนาจในอีกขาของฝ่ายนิติบัญญัติ ทำให้โครงสร้างอำนาจไม่ได้แยกจากกันอย่างเด็ดขาด ดังนั้น การยุบสภาจึงมีความหมายใน 2 มิติสำคัญ
1.เป็นเครื่องมือถ่วงดุลฝ่ายบริหารต่อฝ่ายนิติบัญญัติ
2.เป็นการอุทธรณ์ข้อขัดแย้งทางการเมืองต่อประชาชน เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง
เหตุปัจจัยที่นำไปสู่การยุบสภา
สถานการณ์ที่มักนำไปสู่การยุบสภา ได้แก่
- ฝ่ายบริหารไม่สามารถผลักดันกฎหมายสำคัญผ่านสภาได้
- ความขัดแย้งรุนแรงภายในฝ่ายนิติบัญญัติ (ระหว่าง สส. และ สว.)
- การแก้ไขหรือจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่
- ความจำเป็นในการเร่งจัดการเลือกตั้ง
- การชิงความได้เปรียบทางการเมืองในช่วงที่รัฐบาลได้รับความนิยม
- การจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ
- ความผิดพลาดร้ายแรงในการบริหารประเทศ
- การเรียกร้องจากประชาชนให้คืนอำนาจผ่านการเลือกตั้งใหม่
ยุบสภาแล้ว เดินหน้าไทม์ไลน์เลือกตั้งอย่างไร
ภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องประกาศวันเลือกตั้งทั่วไปภายใน 5 วัน โดยกำหนดวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 45 วัน และไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ และต้องจัดการเลือกตั้งในวันเดียวกันทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายเปิดช่องให้มีความยืดหยุ่นในกรณีจำเป็น เช่น ปัญหางบประมาณหรือเหตุสุดวิสัย โดยสามารถกำหนดวันเลือกตั้งคลาดเคลื่อนได้ภายในกรอบกฎหมาย
รัฐบาลหลังยุบสภา: “รักษาการ” ตามหลักวิชาการ แม้รัฐธรรมนูญไม่ใช้คำนี้
การประกาศยุบสภาของรัฐบาลภูมิใจไทย กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองไทยอีกครั้ง โดยการยุบสภาไม่เพียงเป็นการยุติบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญที่นำประเทศเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งใหม่ พร้อมตั้งคำถามถึงอำนาจ หน้าที่ และข้อจำกัดของรัฐบาลในช่วงหลังการยุบสภา
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี อธิบายว่า คำว่า ‘รัฐบาลรักษาการ’ เป็นคำทางวิชาการ ไม่ได้ปรากฏโดยตรงในรัฐธรรมนูญ แต่ในทางปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีชุดเดิมยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ารับหน้าที่
ขณะที่รัฐบาลในช่วงนี้ยังมีอำนาจตามปกติในเรื่องสำคัญ เช่น
- ความมั่นคงของรัฐ
- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
- การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
- การฟื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบภัย
อย่างไรก็ตาม มีข้อจำกัดสำคัญตามกฎหมายและหลักความเป็นกลางทางการเมือง สิ่งที่รัฐบาลรักษาการ ‘ทำไม่ได้’ หรือ ‘ต้องหลีกเลี่ยง’ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 คือ
1. ห้ามกระทำการที่ผูกพันรัฐบาลชุดถัดไป
- การทำสัญญาระยะยาวขนาดใหญ่
- การอนุมัติโครงการที่สร้างภาระงบประมาณในอนาคต
- การลงนามข้อตกลงระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันระยะยาว
2. ห้ามแต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการระดับสูง
โดยเฉพาะตำแหน่งที่มีผลเชิงนโยบาย เช่น
- ข้าราชการการเมือง
- ปลัดกระทรวง
- อธิบดี
ยกเว้นกรณีจำเป็นอย่างยิ่ง เช่น ตำแหน่งว่าง หรือเพื่อป้องกันความเสียหายร้ายแรงต่อราชการ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจาก กกต.
3. ห้ามออกนโยบายใหม่ที่มีผลทางการเมือง
- นโยบายประชานิยมใหม่
- การเปลี่ยนทิศทางนโยบายหลักของประเทศ
- การใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อพรรคการเมืองใดพรรคหนึ่ง
4. ห้ามใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้ง
- ห้ามใช้งบประมาณรัฐในการหาเสียง
- ห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐ ทั้งบุคคลและยานพาหนะ เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมือง
การยุบสภาไม่ใช่จุดจบของระบบการเมือง แต่เป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ที่รัฐธรรมนูญออกแบบไว้เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อได้เมื่อกลไกปกติไม่สามารถทำงานได้ การกำหนดขอบเขตอำนาจรัฐบาลหลังยุบสภา และการเดินหน้าไทม์ไลน์เลือกตั้งอย่างเป็นธรรม จึงเป็นหัวใจสำคัญในการรักษาหลักประชาธิปไตยและความชอบธรรมของอำนาจรัฐ


