วันนี้ (12 กรกฎาคม) เมื่อเวลา 14.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ศาลอ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อม.อธ. 8/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นฟ้อง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ
กรณีที่จำเลยรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับรายงานสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่อาคารลิปตพัลลภ ฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา แต่จำเลยไม่ได้มีข้อสั่งการอย่างไร
จำเลยกลับเดินทางไปกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอที่ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สรุปให้ฟัง เป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามาชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปิดล้อมสำนักงาน ป.ป.ช. นำป้ายผ้าไวนิลที่ปรากฏข้อความในลักษณะแบ่งแยกประเทศไปติดตามท้องที่ต่างๆ
ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 116 (2) (3) พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 132 ประกอบมาตรา 30 และ 192
คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้องเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2565
วันนี้ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ ทนายจำเลยเดินทางมาศาล จำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วไม่เดินทางมา ศาลให้อ่านลับหลังจำเลย
โดยองค์คณะวินิจฉัยชั้นอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมพิจารณาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และคำร้องขออุทธรณ์ของ ป.ป.ช. แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ใช้ตำแหน่งกระทำการที่ไม่ชอบหรือไม่
เห็นว่าแม้จำเลยจะมีอำนาจหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบ แต่ก็ต้องดูว่าจำเลยมีหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติแต่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่นั้น เห็นว่ามีการรายงานเหตุการณ์จาก ธงชัย (ไม่ทราบนามสกุล) ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบในจังหวัดนครราชสีมา มีการบันทึกนำเสนอรายงานเหตุการณ์การชุมนุมของ นปช. ให้จำเลยทราบ และมีการจัดตั้งคณะกรรมการที่ดูแลรักษาความสงบเรียบร้อย
ซึ่งคณะกรรมการดังกล่าวมีอำนาจสั่งการให้พนักงานตำรวจเข้ารักษาความสงบเรียบร้อย และได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดูแลความสงบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งการสั่งการเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการแล้ว โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากตัวจำเลย
ได้ความปรากฏว่าในการชุมนุมของ นปช. ซึ่งเป็นสถานที่ปิด ไม่ปรากฏว่าการชุมนุมสร้างความเดือดร้อนหรือก่อให้เกิดความไม่สงบ แต่การชุมนุมดังกล่าวกลับเป็นการชุมนุมโดยสงบเรียบร้อยตามสิทธิและเสรีภาพ จึงไม่มีเหตุที่ตำรวจจะเข้าไปขวางการชุมนุม
ส่วนที่จำเลยขึ้นปราศรัยมีข้อความยอมรับข้อเสนอของกลุ่ม นปช. และโจมตีการชุมนุมของ กปปส. องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่า สถานการณ์บ้านเมืองขณะนั้นมีการชุมนุมแตกแยกกันเป็น 2 ฝ่าย มีทั้งกลุ่ม นปช. และ กปปส. ซึ่งนอกจากจำเลยจะมีตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้ว จำเลยยังเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับกลุ่ม กปปส. และการมาชุมนุมและปราศรัยของจำเลยเป็นช่วงเวลาเลิกงาน จึงเป็นการชุมนุมในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ที่จำเลยมี
อีกทั้งเมื่อพิจารณาถ้อยคำปราศรัยของจำเลย จำเลยไม่ได้กล่าวยั่วยุปลุกระดม แต่ที่จำเลยปราศรัยมีเนื้อหาลักษณะดังกล่าวมาจากความโกรธกลุ่ม กปปส. ซึ่งจำเลยเชื่อว่าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมาย จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ที่โจทก์อุทธรณ์มานั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษาฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่มีการฟ้องว่าจำเลยในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 เห็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มิได้ให้อำนาจ ป.ป.ช. ในการไต่สวนข้อหาความผิดตามมาตรา 116 ซึ่งข้อกล่าวหานี้พนักงานอัยการเคยมีคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ซึ่งกฎหมายห้ามมิให้ดำเนินคดีในข้อหาที่มีการฟ้องไปแล้ว
พิพากษายืนยกฟ้อง