วันนี้ (11 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงินสำนักงานศาลยุติธรรม สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2565
ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส. กทม. พรรคก้าวไกล ได้ร่วมการอภิปราย โดยตั้งคำถามถึงกรณีงบประมาณด้านเบี้ยประชุมที่เพิ่มขึ้นทุกปี และความเหลื่อมล้ำในสนามสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา
ศศินันท์ระบุว่า จากที่ได้อ่านงบการเงินของศาลยุติธรรม พบว่ามีงบประมาณด้านหนึ่งที่น่าตั้งข้อสังเกต นั่นคือค่าใช้จ่ายในการประชุมที่เพิ่มขึ้นกว่า 119 ล้านบาท ในปี 2565 เป็น 319 ล้านบาท ซึ่งส่วนต่างนี้เมื่อตนเห็นแล้วก็ตกใจ จึงได้ไปสืบค้นข้อมูลย้อนหลังมาตั้งแต่ปี 2561 ก็พบว่าค่าใช้จ่ายในการจ่ายเบี้ยประชุมอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 207 ล้านบาท
ซึ่งการจ่ายเบี้ยประชุมของสำนักงานศาลยุติธรรมก็พบอีกว่ามีการกำหนดกรอบเอาไว้ ประกอบด้วยของประธาน ประมาณ 10,000 บาทต่อครั้ง, องค์ประชุม คนละ 8,000 บาท, ผู้เข้าร่วม คนละ 8,000 บาท, เลขานุการ คนละ 6,000 บาท แม้จะมีการกำหนดกรอบเอาไว้แล้ว แต่ตัวเลข 319 ล้านบาท ก็ยังเป็นตัวเลขที่สูง ซึ่งประชาชนอาจตั้งคำถามต่อความสมเหตุสมผลว่าเป็นไปเพื่อให้ศาลมีความยุติธรรมและเที่ยงธรรมมากขึ้นอย่างไร และในปี 2566 ค่าใช้จ่ายในการประชุมจะขึ้นไปอีกเป็นเท่าไร
ศศินันท์ยังได้อภิปรายต่อถึงประเด็นต่อไปเกี่ยวกับกระบวนการคัดสรรผู้พิพากษา โดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในการสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยระบุว่า ในวงการนักศึกษาด้านกฎหมาย เป็นที่ทราบดีว่าช่องทางการเป็นผู้พิพากษาต้องผ่านการสอบ โดยมี 3 สนาม อันประกอบด้วย
- สนามใหญ่ที่ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาตรีด้านกฎหมาย และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 2 ปี
- สนามเล็ก ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต และจบปริญญาโทด้านกฎหมาย
- สนามจิ๋ว ผู้สอบต้องสอบผ่านเนติบัณฑิต จบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศ หลักสูตรไม่น้อยกว่า 2 ปี และประกอบอาชีพด้านกฎหมาย 1 ปี หรือจบปริญญาโทด้านกฎหมายจากต่างประเทศ หลักสูตรไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือจบปริญญาเอกด้านกฎหมายมหาวิทยาลัยในไทย
ไม่นานมานี้ มีการแชร์ในโลกออนไลน์ถึงตัวเลขที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่สอบผ่านข้อเขียนสนามจิ๋วในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาในปี 2561 มีจำนวน 21 คน ที่ไม่ได้ประกอบอาชีพด้านกฎหมายมา ซึ่งอาจตีความได้ว่าเมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าสู่สนามสอบทันที และเมื่อพิจารณาถึงคะแนนสอบของแต่ละสนามจะพบว่ามีเกณฑ์ที่แตกต่างกัน สนามจิ๋วให้น้ำหนักกับการสอบภาษามากกว่าด้านอื่นๆ สนามใหญ่เน้นด้านกฎหมายมากที่สุด
ข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในปี 2560 การสอบสนามใหญ่มีผู้ผ่านการคัดเลือก 33 คน จาก 7,000 กว่าคน ถือเป็น 0.47% ของผู้สมัคร ขณะที่สนามจิ๋วในปีเดียวกัน มีผู้ผ่านการคัดเลือก 116 คน จากผู้สมัคร 348 คน ถือเป็น 33.33% ของผู้สมัครทั้งหมด ในปี 2561 อัตราสอบผ่านสนามใหญ่อยู่ที่ 1.76% สนามเล็ก 1.40% สนามจิ๋ว 22.18%
ศศินันท์กล่าวต่อไปว่า จากสถิติจะเห็นได้ว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบคัดเลือกผู้ช่วยผู้พิพากษา โดยในสนามจิ๋วมีโอกาสมากกว่าสนามอื่นถึง 10 เท่าเป็นอย่างน้อย และสะท้อนให้เห็นว่ามีความเหลื่อมล้ำในการสอบในสนามต่างๆ อยู่จริง ยังไม่นับรวมกับการ ‘เก็บคดี’ ที่ในวงการนักศึกษากฎหมายทราบดีว่า เมื่อจบมาแล้วก็อาจไปขอเก็บคดีตามศาล เพื่อให้ได้คดีตามจำนวนที่จะสอบผู้พิพากษาได้โดยไม่ได้ว่าความจริง แล้วเอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบเพื่อมาเป็นผู้พิพากษาตัดสินชะตาชีวิตประชาชน
ด้วยความเหลื่อมล้ำทั้งของกระบวนการสอบคัดเลือก การเก็บคดี สวัสดิการ หรือเบี้ยประชุม จะเห็นได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น เวลามีการตัดสินคดีความต่างๆ ก็คือความเหลื่อมล้ำในการตัดสิน ในการให้ประกันตัวในแต่ละคดี
เช่น ในคดีมาตรา 112 ของ อานนท์ นำภา จำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา ไม่ให้ประกันตัว ทั้งที่ไม่เคยหลบหนีไปไหน, คดีมาตรา 112 ของ วารุณี จำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่ให้ประกันตัว โดยอ้างว่าเป็นความผิดร้ายแรงและเชื่อว่าจะหลบหนี ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยหลบหนี ขณะเดียวกัน คดีของ อิทธิพล คุณปลื้ม ศาลกลับให้ประกันทั้งที่มีประวัติหลบหนี และยังมีคดีของ ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ที่ศาลยกฟ้องคดีฆาตกรรม ‘บิลลี่’ โดยชี้ว่าหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ศาลก็ให้ประกันตัว
ศศินันท์กล่าวทิ้งท้ายว่า ทั้งหมดนี้ ตนอยากชี้ให้เห็นว่าด้วยกระบวนการคัดเลือกผู้พิพากษา การใช้งบประมาณต่างๆ สิ่งที่ประชาชนได้มาคุ้มค่ากับสิ่งที่ประชาชนเสียไปแล้วหรือไม่