วันนี้ (13 มีนาคม) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 23 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) ที่มี ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 ในฐานะประธานการประชุม เข้าสู่วาระการตั้งกระทู้ถามสด โดย ศิริกัญญา ตันสกุล สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถามนายกรัฐมนตรีถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับระบบ Payment Platform ซึ่งเป็นระบบแอปพลิเคชันใหม่สำหรับการจ่ายเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยมี จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้ตอบกระทู้แทน
ศิริกัญญากล่าวว่า เดิมนั้นตนเองตั้งใจที่จะตั้งกระทู้ถามสด ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะเจ้ากระทรวงที่เป็นเจ้าของโครงการดิจิทัลวอลเล็ต เจ้าของระบบ Payment Platform และเป็นผู้โอเปอเรตโครงการ เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า จะไม่มีการพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ โดยจะใช้แอปทางรัฐในการรองรับการบริการของประชาชน
ศิริกัญญาจึงได้ถามเราจะต้องใช้แอปไหนในการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้สื่อสารข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า การที่ใช้จ่ายโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะใช้จ่ายผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐเพื่อสแกน QR Code ณ ร้านค้า หมายความว่า ถ้ามีการใช้ผ่านแอปทางลัดแอปเดียวนั้น ใช้ระบบที่เรียกว่า Close Loop ได้เลย โดยไม่ต้องทำระบบ Open Loop ให้ต้องปวดหัวจนถึงทุกวันนี้
ศิริกัญญากล่าวต่อว่า มั่นใจว่าเราไม่ได้ใช้แอปพลิเคชันทางรัฐในการใช้จ่ายอย่างแน่นอน เนื่องจากตามที่ได้ศึกษามาการใช้แอปพลิเคชันทางรัฐจะใช้เพียงแค่การลงทะเบียนรับสิทธิ์หลัง จากนั้นก็จะใช้เป็นแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อชำระเงิน จึงได้ทักท้วงนายกรัฐมนตรีว่า ระบบแพลตฟอร์มที่กำลังพัฒนานั้น จะไม่ได้ใช้การชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ
แต่จะเป็นแอปพลิเคชันโมบายล์แบงกิ้งที่อยู่ในมือถือที่ที่เข้าร่วมโครงการ และรัฐบาลมีการพัฒนาแอปพลิเคชันทางรัฐให้สามารถชำระเงินได้เลยหรือไม่ เพราะขอบเขตของการพัฒนาระบบ Payment Platform ไม่ได้ระบุว่าจะให้แอปทางรัฐชำระเงิน แต่เป็นระบบกลาง Core Banking มาเชื่อมต่อกับระบบของธนาคารอื่นๆ โดยเข้าไปที่ดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อยิง QR Code จ่ายเงิน
ส่วนคำถามสุดท้าย จากกรณีที่ สส.พรรคเพื่อไทย มีการระบุ บนโซเชียลมีเดียว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างการเร่งพัฒนาระบบให้แอปพลิเคชันทางรัฐ และสามารถเชื่อมต่อข้อมูลจนสามารถรู้ได้ว่าสินค้าที่ประชาชนจะซื้อเป็นประเภทไหนซึ่งจะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ศิริกัญญาจึงขอถามว่า รัฐบาลกำลังจะมีการออก API Blueprint เวอร์ชัน 1.3 หรือไม่ เนื่องจาก API Blueprintทั้งหมดที่เคยได้ให้กับธนาคารต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการไปไม่มีการเก็บข้อมูลสินค้าแต่อย่างใด พร้อมทั้งข้อสังเกตว่า นี่เป็นอีกเหตุที่รัฐบาลตัดสินค้าต้องห้ามออกไป และจำกัดที่ร้านค้า เพราะเช็กประเภทสินค้าออกใช่หรือไม่
ดังนั้นสิ่งที่อยากให้ทางรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ช่วยตอบว่า
- แอปทางรัฐยังใช้ชำระเงินในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่
- จะมีการเปลี่ยนแปลง API Blueprint อีกรอบ
เพื่อที่จะเก็บข้อมูลประเภทสินค้าในอนาคตอีกหรือไม่
จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตอบในฐานะตัวแทนคณะรัฐมนตรีว่า เนื่องด้วยคำถามเป็นเรื่องเกี่ยวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เรื่องจึงถูกส่งมาที่กระทรวงการคลัง โดยนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งท่านก็ติดภารกิจแล้วก็มอบให้ตนเองมาตอบ เนื่องด้วยคำถามนั้น ไม่ได้ถามในเรื่องของ Payment Platform อาจจะเป็นความคลาดเคลื่อน แต่ในมุมของตนเอง เรื่องของกระทู้ถามสดด้วยวาจา เหมือนตอบปัญหาเชาวน์ ไม่รู้คำถามก่อน แต่ถ้าอยากได้เนื้อหาอยากได้ข้อมูล เราอาจจะต้องปรับเปลี่ยนในอนาคตกระทู้ถามสดก็ถามมา จะได้เตรียมข้อมูลและเตรียมผู้ตอบที่มันตรงกับคำถาม
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า ตนเองเป็นหนึ่งในผู้ที่รับผิดชอบเรื่องของโครงการเติมเงิน 10,000 บาททุกเฟสว่า เรื่องของ Payment Platform ว่าสามารถสแกนในระบบทางรัฐได้หรือไม่ ยืนยันว่า สามารถดำเนินการได้ทั้ง 2 ทาง ซึ่งผู้พัฒนาได้พัฒนาแบบคู่ขนาน คือ ระบบทางรัฐไม่ใช่เรื่องของ Payment Platform ซึ่ง สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ (DGA) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็น app developer ของรัฐ ได้พัฒนามา 4 ระบบ ได้แก่
- ระบบลงทะเบียนประชาชน
- ระบบลงทะเบียนร้านค้า
- ระบบทางรัฐ Wallet
- ระบบแพลตฟอร์มการชำระเงิน
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า ทางรัฐคือหน้ากากที่ประชาชนจะต้องใช้ ส่วนแอปพลิเคชันจริงในการที่จะเรียกดำเนินการนั้นอยู่เบื้องหลัง ซึ่งสำหรับผู้ใช้ทั้งหมดไม่ได้มีความจำเป็นต้องทราบว่า แอปพลิเคชันนั้นเป็นอย่างไร แต่กลไกที่จะดำเนินการในการชำระเงิน เมื่อมีการเติมเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ตไปยังประชาชนนั้น สามารถทำได้ 2 ช่องทาง
- ใช้ตัวแอปพลิเคชันทางรัฐ ซึ่งก็กำลังพัฒนาอยู่แล้ว เราก็คงมีความเชื่อมั่นว่าสามารถดำเนินการได้ครบถ้วน โดยในอนาคตแอปพลิเคชันทางรัฐ รวมถึงระบบการชำระเงินทั้งหมดจะเป็นระบบ Payment Platform การชำระเงินกลางของรัฐ รวมถึงโยกย้ายสวัสดิการประเภทต่างๆ รวมศูนย์อยู่ในจุดเดียว
- การเชื่อมต่อกับธนาคารทั้งสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์, Non-bank ทุกกลุ่มที่เข้าร่วม ซึ่งตรงนี้เป็นระบบที่เรียกว่า Open Loop การที่ธนาคารมาเชื่อมต่อกับแอป โดยที่ไม่ได้เป็นคนทำในเรื่องการเช็กคุณสมบัติ รวมถึงการใช้การโอนการจ่ายเป็นเรื่องภายในของรัฐ เป็นการเปิดประตูให้ทางธนาคารเชื่อมต่อเพื่อให้เกิดความสะดวกและง่ายกับประชาชน เป็นการสร้างความสะดวกให้กับผู้ใช้
จุลพันธ์กล่าวต่อว่า สุดท้ายสามารถดำเนินการได้ทั้ง 2 ทาง แต่ในทางเทคนิคอาจตอบไม่ได้ชัด แต่ตนเองมีความเชื่อว่า แม้จะใช้แอปพลิเคชันของธนาคารในการชำระเงิน แต่สุดท้ายก็ต้องโหลดแอปพลิเคชันทางรัฐ เพื่อให้มันมีการเชื่อมโยงระหว่าง 2 แอปพลิเคชันในการที่จะชำระเงิน
ทั้งนี้ เรื่องของแอปพลิเคชันในการที่จะโอนจ่ายเงินนั้น ต้องมีความเชื่อมโยงทั้ง 2 ทาง ธนาคารพาณิชย์เป็นในส่วนของผู้ใช้ แต่ทางรัฐเองนั้น เป็นส่วนที่จะไปเชื่อมโยงกับระบบในเรื่องของการทำ Payment Platform แล้วก็การเคลียร์บัญชี การโอนเม็ดเงินทั้งหมดที่อยู่ด้านหลัง
ฉะนั้นมันจำเป็นจะต้องโหลดทั้งสองแอปอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ประชาชนที่ลงทะเบียนก็โหลดแอปพลิเคชันทางรัฐหมดแล้ว ซึ่งมีผู้ใช้งานรวมทั้งสิ้น 34 ล้านคน เป็นแอปพลิเคชันของรัฐที่มีผู้ใช้งานมากที่สุด โดยรัฐบาลจะได้พัฒนาเป็นแอปพลิเคชันกลางที่เป็นประโยชน์
ส่วนคำถามที่สอง เรื่องของการเช็กประเภทสินค้านั้น เนื่องจากกลไกในการกำกับดูแลค่อนข้างยาก รัฐบาลเปิดโอกาสให้บางร้าน เช่นโชห่วย เข้ามาร่วมในโครงการในฐานะร้านค้า แต่ร้านโชห่วยไม่มีเครื่องในการออกบิลว่า ประชาชนคนนี้ซื้อรายการอะไรบ้าง ซึ่งจะยืนยันไม่ได้เลยว่า เขาเข้าไปซื้ออะไรในร้านค้านั้นๆ สิ่งที่มันเกิดตามมา คือ หากเราไปกำกับในเรื่องของสินค้าสิ่งที่เรียกว่าการใช้ผิดประเภทจำนวนมาก และสุดท้ายจะเกิดคดีความกับร้านค้าขนาดเล็กจำนวนมากเช่นกัน
รัฐบาลจึงมีข้อเสนอมาจากหน่วยงานที่เข้าร่วมประชุมว่า ควรเปลี่ยนเอาออกสินค้าต้องห้ามออก แล้วไปบล็อกร้านค้าเองแทน หลังมีการปรับเปลี่ยนได้ดึงดูดให้กับร้านค้าขนาดเล็ก เช่น โชห่วยมาร่วมกับโครงการให้มากที่สุด ขณะเดียวกันร้านค้าก็มีความปลอดภัยที่นำไปผิดประเภทหรือผิดกฎหมายจนเกิดคดีความ จุดนี้รัฐบาลปิดป้องหมดแล้ว
ในส่วนของสินค้านั้น เป็นการสื่อสารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ซึ่งท่านมีความประสงค์ที่ดี การที่เราตอนนี้เรายังไม่สามารถตรวจสอบเรื่องของสินค้าประเภทสินค้าที่ซื้อได้ หากในที่สุดแล้วระบบเราเชื่อมต่อกัน คนที่จะต้องพัฒนาแอปพลิเคชันต่อคือ ร้านค้า ที่จะต้องเป็นผู้ที่จะต้องมีแอปพลิเคชันในการบอกว่า ผู้ซื้อซื้ออะไร ผู้ขายขายอะไร นั่นคือจุดที่เป็น Point of Sale ไม่ใช่รัฐ
ส่วนคำถามเรื่อง API นั้น ยืนยันว่าไม่มีใหม่ เพราะได้มีการส่งมอบให้กับทางกลุ่มธนาคารและ Non-Banks ไปเรียบร้อยแล้ว ก็ขอยืนยันข้อมูลเดิม กระบวนการในการพัฒนาก็คงดำเนินการอยู่แล้ว โดยก็มีการเตรียมเว้นระยะเวลาจะมาเชื่อมต่อกับรัฐบาล ฉะนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามที่ได้สอบถาม
ศิริกัญญาถามต่อถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับระบบรักษาความปลอดภัย, blockchain ที่จะถูกใช้ในการยืนยันการใช้จ่ายทุกธุรกรรม, การทดสอบระบบ, การตรวจสอบทุจริตจะไปอยู่กับหน่วยงานใด, ระบบคอลเซ็นเตอร์ จะไปอยู่กับหน่วยงานใด รวมถึงผู้ที่เป็นโปรเจกต์เมเนเจอร์ เป็นผู้ที่จะคอยดูภาพรวมทั้งหมด ขณะนี้เรื่องทั้งหมดนี้มีความคืบหน้าแล้วกี่เปอร์เซ็นต์ และขับเคลื่อนให้ระบบได้เสร็จตามที่ได้โฆษณาไว้ ปลายไตรมาส 2 หรือต้นไตรมาส 3 หรือไม่
จุลพันธ์ชี้แจงว่า ตนเองไม่สามารถตอบได้ว่าแต่ละระบบพัฒนาถึงไหนและจบสิ้นเมื่อไร กระทรวงการคลังเป็นเจ้าของโปรเจกต์ เรารับทราบว่าสิ่งที่ทุกหน่วยงานได้รายงานมา ซึ่งเร็วๆ จะเริ่มมีการทดสอบระบบการใช้ทั้งหมด ขณะนี้ผ่านการทดสอบต่างๆ ทำมาหลายรอบ และได้มีการย้ายตัวแอปพลิเคชันไปอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของทางกระทรวงดีอีเอสน่าจะใกล้เสร็จเรียบร้อย แต่ตนเองไม่แน่ใจเรื่องไทม์ไลน์ แต่ว่ากระบวนการทั้งหมดเป็นกระบวนการภายในที่ทางภาครัฐดำเนินการ ขอยืนยันในกรอบเวลาที่ได้ให้เอาไว้
ส่วนเรื่องความปลอดภัยสูงสุด นายกรัฐมนตรีพูดในที่ประชุมว่า เป็นห่วงในเรื่องนี้ แล้วก็ให้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาหนึ่งคณะ เพื่อที่จะมาติดตามตรวจสอบในเรื่องของกลไกต่างๆ ส่วนเรื่องของคอลเซ็นเตอร์ก็ใช้เลขหมาย 1111 ครับ เป็นเลขหมายหลักของรัฐตั้งแต่เฟสที่ 2 เป็นเลขหมายกลางของทางสำนักนายกรัฐมนตรีที่ดูแลโดย โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ในการตรวจสอบ ส่วนเรื่องของโปรเจกต์เมเนเจอร์ ก็เป็นกระทรวงการคลัง เพราะเป็นเจ้าของโครงการ โดยจะเป็นผู้ที่บริหารจัดการทั้งหมด
จุลพันธ์กล่าวทิ้งท้ายว่า พยายามตอบให้ได้มากที่สุดนะครับ ติดขัดตรงไหนก็ขออภัยด้วย ในฐานะที่อยู่กระทรวงการคลัง ตนเองอาจจะไม่ได้ลงไปติดตามโปรเจกต์รายย่อยถึงขนาดที่ว่าแต่ละส่วนมีความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์ แต่อย่างไรก็ตามขอยืนยันในกรอบเวลา ไม่มีต้นไตรมาส 3 โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเดินหน้าเรียบร้อยภายในไตรมาส 2 แน่นอน