จุลพันธ์ รมช.คลัง ยืนยัน ดิจิทัลวอลเล็ตซื้อ ‘สมาร์ทโฟน’ ได้ เผยรายการสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ (Negative List) เพิ่มเติม ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
วันนี้ (14 มิถุนายน) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยระบุว่า รายการสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ (Negative List) ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว พร้อมยืนยันว่า สมาร์ทโฟน สามารถเข้าร่วมโครงการได้
“ส่วนงานที่เกี่ยวข้องได้พิจารณาในทุกแง่มุม เพราะปัจจุบันโทรศัพท์มือถือคือเครื่องมือในการทำมาหากิน เรียกว่าเป็นปัจจัยที่ 5 ไปแล้ว จึงเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะสามารถเข้าร่วมในโครงการได้” จุลพันธ์กล่าว
สำหรับความคืบหน้าของรายการสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการ (Negative List) เพิ่มเติม ตอนนี้ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว ซึ่งไม่น่าเปลี่ยนแปลง อย่างสมาร์ทโฟนที่พิจารณาแล้วว่าสามารถเข้าร่วมโครงการได้
นอกจากนี้จุลพันธ์ยังเปิดเผยว่าจะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ ในต้นสัปดาห์หน้า เพื่อติดตามความคืบหน้าต่างๆ พร้อมยืนยันว่า โครงการยังเป็นไปตามกรอบระยะเวลาเดิม โดยจะเปิดให้ประชาชนและร้านค้าลงทะเบียนได้ภายในไตรมาส 3 และเงินจะถึงมือประชาชนภายในไตรมาส 4
อย่างไรก็ดี สำหรับประเด็นการสอบถามความเห็นจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรณีการใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 1.72 แสนล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ยังไม่ได้มีการดำเนินการ โดยทุกอย่างจะทำตามขั้นตอนเมื่อถึงเวลาอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้ยังมีระยะเวลาดำเนินการอีกนาน
สมาร์ทโฟน ‘เข้าร่วม’ แต่อาจต้องซื้อจาก ‘ร้านเล็ก’
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครม. มีมติเห็นชอบกรอบหลักการโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต โดยหนึ่งในรายละเอียดของหลักการระบุว่า
“สินค้าทุกประเภทสามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ยกเว้นสินค้าที่ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการฯ ได้ (Negative List) ซึ่งได้แก่ สลากกินแบ่งรัฐบาล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ กัญชา กระท่อม พืชกระท่อม ผลิตภัณฑ์กัญชาและกระท่อม บัตรกำนัล บัตรเงินสด ทองคำ เพชร พลอย อัญมณี น้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์สามารถพิจารณากำหนด Negative List เพิ่มเติมได้ โดยการใช้จ่ายตามโครงการฯ ไม่รวมถึงบริการ”
สะท้อนว่า สมาร์ทโฟนไม่ได้เป็นสินค้าต้องห้ามแต่แรก อย่างไรก็ดี การซื้อสมาร์ทโฟนจะต้องซื้อจะต้องซื้อผ่านร้านค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมรายการ หรือร้านค้าขนาดเล็กที่รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนกังวลว่า ประชาชนจะใช้จ่ายเงินส่วนใหญ่ไปกับสินค้านำเข้า ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้วควรพยายามจำกัดให้คนใช้กับสินค้าหรือบริการในประเทศ (Local Content) เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยและห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของร้านค้าไทยอย่างเต็มที่ ลดการรั่วไหลไปยังต่างชาติ
เปิดคุณสมบัติและเงื่อนไขร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ
ตามหลักการที่ ครม. เห็นชอบ ระบุว่า ร้านค้าที่ร่วมโครงการได้จะต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี ดังนี้ 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax: VAT) หรือ 2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax: PIT) เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร หรือ 3. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax CIT)
โดยร้านค้าที่จะรับการใช้จ่ายจากประชาชนต้องเป็นร้านค้าขนาดเล็ก รวมถึงร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก โดยไม่รวมห้างสรรพสินค้า ห้างค้าปลีก-ค้าส่งขนาดใหญ่ระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ส่วนร้านค้าที่สามารถรับการใช้จ่ายจากร้านค้า ไม่มีการกำหนดเงื่อนไขเชิงพื้นที่และขนาดร้านค้า
อย่างไรก็ดี ในท้ายที่สุดแล้ว รายละเอียดเพิ่มเติมต่างๆ ยังต้องรอความชัดเจนและข้อสรุปจากคณะกรรมการฯ อีกที
อ้างอิง: