×

Digital Economy ปลดล็อกเศรษฐกิจดิจิทัล สู่เป้าหมายประเทศรายได้สูง

โดย THE STANDARD TEAM
04.08.2025
  • LOADING...

เป็นที่รู้กันว่า ไทยเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งที่อยู่จุดศูนย์กลางของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก, สภาพแวดล้อมที่ผู้คนโอบรับทุกวัฒนธรรม หรือแม้แต่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของคนในประเทศที่ริเริ่มอะไรใหม่ๆ เสมอ

 

ทว่า ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ กำลังทำให้ประเทศของเรายืนอยู่ในจุดที่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การขาดแคลนนวัตกรรม รวมถึงสถานะผู้นำในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุนอย่างเต็มตัว

 

จากคำถามที่ตามมาว่า แล้ววิธีการใดจะแก้ไขวิกฤตดังกล่าว บทความนี้ทำความรู้จักกับ ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ แนวทางปลดล็อกประเทศสู่เป้าหมายการเป็นประเทศรายได้สูง
เศรษฐกิจดิจิทัลคืออะไร ทำไมจึงได้รับความสนใจ

 

ปัจจุบัน แนวคิดเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) กำลังได้รับความสนใจจากโลกระหว่างประเทศในยุค Disruptive ในฐานะเครื่องมือต่อสู้ ‘กับดักรายได้ปานกลาง’ (Middle Income Trap) หรือสภาวะที่ประเทศที่มีรายได้ปานกลางไม่สามารถยกระดับไปสู่การมีรายได้สูงได้

 

หากจะอธิบายความหมายของเศรษฐกิจดิจิทัลให้เข้าใจอย่างง่ายที่สุด คือ กิจกรรมทางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ที่เชื่อมโยงมนุษย์ ธุรกิจ และข้อมูลสารสนเทศ โดยมีตัวกลางเชื่อมโยงคือเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ต,เทคโนโลยี, Big Data, และเครื่องมือสื่อสารอื่นๆ โดยหัวใจสำคัญของแนวคิดดังกล่าวคือ แนวคิด Hyperconnectivity หรือภาวะที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน โดยมีตัวกลางอย่างอินเทอร์เน็ต หรือเทคโนโลยี

 

สาเหตุที่เศรษฐกิจดิจิทัลมีความสำคัญ และกำลังได้รับความสนใจในฐานะอีกทางเลือกของแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ เป็นเพราะ ‘การให้ผลลัพธ์สูงสุด แต่ต้นทุนต่ำ’ กล่าวคือ การมีอยู่ของเทคโนโลยี ทำให้ผลิตผลเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพให้กับภาคเศรษฐกิจ แต่มีข้อเสียน้อย เช่น มีความปลอดภัย รวดเร็ว ราคาไม่แพง เข้าถึงง่าย ประหยัดเวลาและพลังคน

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากเศรษฐกิจดิจิทัลคือ อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) หรือการซื้อ-ขายสินค้าในโลกออนไลน์ โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็นตัวกลาง เช่นการค้าบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Amazon, Alibaba, หรือ eBay ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันใครหลายคน ทุกคนอยู่ที่ไหนก็สามารถสั่งของที่ต้องการได้ในพริบตา ขณะที่ผู้ขายมีความสะดวก และช่วยลดต้นทุนบางอย่าง เช่น ค่าเช่าที่ ถือเป็นการปฏิวัติโฉมหน้าการค้าและการลงทุนแบบดั้งเดิม

 

เศรษฐกิจดิจิทัลยังครอบคลุมถึงนวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ในฐานะเครื่องทุ่นแรง โดยเฉพาะความสามารถในการช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์ธุรกิจ ทั้งมิติการปรับปรุงคุณภาพสินค้าตามความต้องการของผู้บริโภค, การสร้างอัลกอริทึมดึงดูดลูกค้า ไปจนถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงาน

 

มากกว่านั้น เศรษฐกิจดิจิทัลมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคม เห็นได้ชัดเจนอย่างการมีของเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ที่ระบบฐานข้อมูลเอื้อต่อแนวคิดการกระจายอำนาจ (Decentralized) ขณะที่ยังสร้างความโปร่งใสในการตรวจสอบร่วมกัน และปกป้องข้อมูลส่วนตัวในเวลาเดียวกัน

 

กับดักรายได้ปานกลาง: ปัญหาของไทยที่ก้าวข้ามไม่ได้

 

สำหรับประเด็นกับดักรายได้ปานกลาง รายงานของธนาคารโลกปี 2024 (Development Report 2024: The Middle Income Trap) เปิดเผยว่า ไทยเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังเผชิญสภาวะดังกล่าวร่วมกับอีก 107 ประเทศ เช่น จีน, อินเดีย, บราซิล และแอฟริกาใต้ นับตั้งแต่ทศวรรษที่ 1990 หลังมีรายได้ต่อหัวอยู่ที่มูลค่าราว 1,136-13,845 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 3.8 หมื่น – 4.6 แสนบาท) ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่เข้าข่ายในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางของธนาคารโลก

 

น่าสนใจไม่น้อยว่า เพราะเหตุใดประเทศที่เคยได้รับสมญานามว่า ‘ว่าที่เสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย’ และครั้งหนึ่งธนาคารโลกเคยเลื่อนสถานะให้เป็นประเทศกลุ่มเศรษฐกิจรายได้สูงในปี 2011 ถึงเดินทางมาสู่จุดนี้

 

1. การขาดแคลนแรงงาน และอัตราการเกิดรั้งท้ายในอาเซียน ประเทศไทยกำลังเผชิญดังกล่าวมานานเกือบทศวรรษ เนื่องจากอายุเฉลี่ยของแรงงานในตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนประชากรลดน้อยลง โดยปัญหาดังกล่าวมีที่มาจากอัตราการเกิดต่ำ โดยมีสถิติเปิดเผยออกมาในปี 2022 ว่า ไทยมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในอาเซียน ยกเว้นแค่สิงคโปร์​ ซ้ำปัญหาดังกล่าวอาจรุนแรงกว่าเกาหลีใต้ สะท้อนสถิติในระหว่างปี 2000-2021 ว่า ประชากรไทยลดลงถึง 20% ขณะที่เกาหลีใต้ลดลงเพียง 15%

 

2. ระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์กับตลาดแรงงาน รายงานจาก Thailand in a Middle-Income Trap ยังเผยว่า ระบบการศึกษาประเทศไทย ‘ไม่ประสบความสำเร็จ’ ในการสร้างแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะในสภาวะที่โลกเต็มไปด้วยการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร ความเป็นผู้นำ หรือแม้แต่ภาษา

 

3. ภาคการเกษตรยังเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ แน่นอนว่า เป็นเรื่องดีที่ไทยได้รับความสำคัญในฐานะ ‘อู่ข้าวอู่น้ำของโลก’ (Kitchen of The World) แต่ข้อเท็จจริงที่น่ากังวล และมีผลต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศอย่างยิ่งคือ อุตสาหกรรมการเกษตร คิดเป็นเพียง 1 ใน 10 ของ GDP ประเทศทั้งหมด

 

นอกจากนี้ หากเจาะข้อมูลลงลึกไปจะเห็นว่า ข้าวเป็นพืชหลักในอุตสาหกรรม ที่อยู่ในสัดส่วนการค้าระหว่างประเทศเพียง 14% ขณะที่หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนอย่างเวียดนาม สปป.ลาว และกัมพูชา ไร่ข้าวของประเทศไทยยังถือว่ามีขนาดเล็กเกินไป รวมถึงสันหลังของชาติอย่างเกษตรกรก็ยังเผชิญกับความยากจน จนไม่สามารถลงทุนหรือพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อยกระดับผลผลิตได้

 

4. การลงทุนด้านใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (Research and Development: R&D) อยู่ในระดับต่ำ แม้ R&D เปรียบดัง ‘แขน’ และ ‘ขา’ ของการพัฒนาประเทศ แต่กลับพบว่า งบประมาณดังกล่าวคิดเป็นเพียง 0.2% ของ GDP ประเทศทั้งหมดต่อปี ซึ่งในภายภาคหน้า ภาคธุรกิจอาจต้องให้ความสำคัญกับนวัตกรรมดังกล่าวมากขึ้น หากต้องการเป็นผู้นำแถวหน้าในบรรดาประเทศที่มีศักยภาพใกล้เคียง

 

‘กลยุทธ์ 3i’ ต้นแบบเศรษฐกิจดิจิทัล: บทเรียนจากเกาหลีใต้สู่การปลดล็อกเป็นประเทศรายได้สูง

 

แม้เป็นเรื่องยากที่หลายประเทศจะก้าวข้ามปัญหากับดักรายได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจ

 

ต้นแบบเศรษฐกิจดิจิทัลของโลกที่โด่งดัง คงหนีไม่พ้นเกาหลีใต้ ดังปรากฏการณ์ ‘ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน’ ที่ทำให้เกาหลีใต้สามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตมากกว่า 5% มานานถึง 50 ปีได้อย่างน่าเหลือเชื่อ โดยสะท้อนจากรายได้ต่อหัวของเกาหลีใต้ที่เพิ่มขึ้นจาก 1,200 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.4 หมื่นบาท) ในปี 1960 สู่ 33,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.1 ล้านบาท) ในปี 2023

 

เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เกาหลีใต้เติบโตคือ การพึ่งพาเทคโนโลยีมากกว่า 60 ปี ซึ่งโลกอาจถอดบทเรียนเกาหลีใต้จากความมหัศจรรย์ในครั้งนี้ได้ผ่าน ‘กลยุทธ์ 3i’ ซึ่งเป็นแผนการแก้ไขปัญหาของธนาคารโลกในรายงาน Development Report 2024: The Middle Income Trap

 

จากรายงาน ได้แนะนำให้ ‘ประเทศรายได้ต่ำ’ เน้น 1i หรือการให้ความสำคัญกับการลงทุน (Investment) คือ

 

  1. ปรับปรุงบรรยากาศเพื่อกระตุ้นการลงทุน
  2. ลงทุนกับทรัพยากรมนุษย์
  3. เพิ่มการลงทุนด้านพลังงานในฐานะรากฐานของการลงทุน
  4. ปฏิรูปกรอบการกำกับดูแลเพื่อดึงดูดการลงทุนภาคเอกชน และสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม

 

ขณะที่ ‘ประเทศรายได้ปานกลาง’ ต้องเน้น 2i หรือการใช้เทคโนโลยีผสมผสานการให้เงินทุน (Investment + Infusion) คือ

 

  1. สร้างวินัยให้กับผู้นำในตลาด
  2. กระจายเทคโนโลยี และเพิ่มแรงกระตุ้นให้บริษัทจูงใจลงทุน
  3. ให้โอกาสที่เท่าเทียมกับทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัยทางสังคม
  4. อนุญาตให้แรงงานที่มีการศึกษา แต่ทักษะไม่ได้สอดคล้องกับความต้องการภายในประเทศ ออกไปทำงานที่อื่น
  5. ควบคุมรัฐวิสาหกิจด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณ

 

ส่วน ‘ประเทศที่มีรายได้สูง’ ต้องใช้กลยุทธ์ 3i หรือการผสมผสาน 3 สิ่ง คือ การลงทุน, การให้เงินทุน และนวัตกรรม (Investment + Infusion + Innovation) เช่น

 

  1. ขยายภาคการตลาดและการหาแหล่งเงินทุน
  2. เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับหน่วยงานกำกับดูแลที่ต่อต้านการผูกขาด
  3. คุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา
  4. เสริมสร้างความเชื่อมโยงอุตสาหกรรมและวิชาการภายในประเทศ
  5. ส่งเสริมเสรีภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง

 

โมเดลที่เห็นได้ชัดเจนจากกลยุทธ์ 3i คือ เรื่องราวของซัมซุง (Samsung) บริษัทอิเล็กทรอนิกส์ของเกาหลีใต้ หากย้อนความเป็นมาจะพบว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เริ่มต้นเส้นทางด้วยการเป็นร้านขายของชำ บะหมี่ และปลาแห้งในปี 1938 ก่อนที่ขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอ, ประกันภัย และบริษัทหลักทรัพย์ในช่วงสงครามเกาหลี

 

กระทั่งในช่วงทศวรรษ 1960 ซัมซุงขยายกิ่งก้านภาคธุรกิจอีกครั้ง หลังพบว่าผู้คนในประเทศเริ่มให้ความสนใจกับอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มจากการเปิดตัวโทรทัศน์ขาวดำในปี 1969 ซึ่งได้รับลิขสิทธิ์ทางเทคโนโลยีจากบริษัทซันโยและเอ็นอีซี (NEC) จากญี่ปุ่น จนขยายตัวไปยังเทคโนโลยีชนิดอื่นๆ อย่างโทรศัพท์ที่มีนวัตกรรมใหม่และลูกเล่นไม่ซ้ำใคร จนถึงเซมิคอนดักเตอร์ ทรัพยากรสำคัญในการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม ซัมซุงไม่ได้เติบโตอย่างโดดเดี่ยว เพราะรัฐบาลเกาหลีใต้ยังดำเนินนโยบายคู่ขนาน เพื่อส่งเสริมศักยภาพประชากรและเสริมสร้างอุตสาหกรรมภายในไปในเวลาเดียวกันคือ ให้การศึกษาและส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ เพื่อตอบรับความต้องการแรงงานของตลาด ขณะที่อัดฉีดเงินทุนและเงินอุดหนุนกับภาคธุรกิจ รวมถึงสนับสนุนการลงทุนแผนก R&D เพื่อคิดค้นนวัตกรรมใหม่ให้กับประเทศ

 

ถือว่า โมเดลดังกล่าวยังใกล้เคียงกับการปฏิวัติเมจิ (Meiji Restoration) ช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาอุตสาหกรรมได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชีย โดยรัฐบาลในเวลานั้นได้ริเริ่มโครงการโซกุซังโคเกียว (Shokusan Kogyo) ที่มุ่งเน้นปรับปรุงสาธารณูปโภค และโครงสร้างพื้นฐานให้ตอบรับกับโลกสมัยใหม่ ขณะที่ยังตั้งโรงงานสาธิต เพื่อให้ความรู้กับภาคเอกชน

 

ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีเป็นเสาหลักสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ก็ต้องอาศัยพยุงธุรกิจ และสนับสนุนทรัพยากรคนไปพร้อมกัน

 

ภาพ: Shutterstock

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising