เกิดอะไรขึ้น:
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล หรือ DIF จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นปันผลที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ DIF ดูน่าสนใจมากขึ้น
ปัจจุบัน InnovestX Research คาดว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง 2 ครั้ง ครั้งละ 25 bps ภายในสิ้นปีนี้ เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 ซึ่งคาดว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีจะปรับตัวลดลง ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปีปรับตัวลดลง (ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ กับไทยอายุ 10 ปีมีค่า Correlation เป็นบวกที่ 0.9)
นอกจากนี้ยังมองว่ามีโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงในปีนี้ ซึ่งน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่กดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับตัวลดลง นอกจากนี้กลุ่ม REIT และราคาหน่วยลงทุน DIF ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรอยู่ในทิศทางขาลงด้วย
DIF จ่ายเงินปันผลงวด 1H67 ที่ 0.44 บาทต่อหน่วย สำหรับครึ่งหลังปี 2567 คาดว่า DIF จะจ่ายเงินปันผลในระดับเดียวกันนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินปันผลทั้งปี 2567 จะอยู่ที่ 0.89 บาทต่อหน่วย (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 11.5%) เนื่องจากรายได้ค่าเช่าคงที่ จึงมองว่าประมาณการเงินปันผลปี 2567 จะมี Downside เพียงเล็กน้อย
กลุ่ม REIT ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.3% ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา Outperform SET อยู่ 7.5% จากการคาดการณ์ว่า Fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง
อย่างไรก็ตาม เมื่อดูที่ DIF พบว่าราคาหน่วยลงทุนค่อนข้างทรงตัวในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่า DIF ปรับตัว Underperform ทั้ง SET และกลุ่ม REIT เมื่อพิจารณาจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประเมินได้ที่ 11.5% ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม REIT ที่ 8.6% จึงมองว่า DIF เป็น Laggard Play ที่น่าสนใจในกลุ่ม REIT
กระทบอย่างไร:
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้น DIF ปรับลง 1.27% สู่ระดับ 7.80 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 3.90% สู่ระดับ 1,359.07 จุด
กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:
InnovestX Research ปรับคำแนะนำสำหรับ DIF ขึ้นจาก Neutral สู่ Outperform โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 10.50 บาทต่อหน่วย (WACC 6.7% และไม่มี Terminal Value) และใช้สมมติฐานว่า TRUE จะต่ออายุสัญญาเช่าสาย FOC ไปจนถึงปี 2586 เนื่องจากเข้าเงื่อนไขในการที่ TRUE จะต้องต่ออายุสัญญาเช่าแล้ว (ส่วนแบ่งตลาดธุรกิจ FBB ของ TRUE มากกว่า 33% หรือรายได้ของธุรกิจ FBB ของ TRUE สูงกว่า 1.65 หมื่นล้านบาท)
การเปลี่ยนมามีมุมมองเชิงบวกต่อ DIF หลังจากพบว่า: อัตราผลตอบแทนพันธบัตรกำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง ซึ่งเป็นผลดีต่อ DIF, อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ประเมินได้อยู่ในระดับที่ดีที่ 11.5% ในปี 2567 และราคาหน่วยลงทุน DIF ปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่ม REIT ในขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 8.6% จึงแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อสะสม DIF ที่ระดับราคาในตอนนี้
ปัจจัยเสี่ยงและความกังวลที่ต้องติดตามคือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นจะทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ DIF ดูน่าสนใจน้อยลง และจะทำให้ราคาหน่วยลงทุนมี Upside จำกัด เนื่องจาก DIF จัดอยู่ในกลุ่มหุ้นปันผล ความเสี่ยงนี้ถือว่าอยู่ในระดับต่ำในตอนนี้ เนื่องจากเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายกำลังจะเข้าสู่แนวโน้มขาลง
นอกจากนี้ยังมองว่าความเสี่ยงที่ TRUE จะขายหน่วยลงทุน DIF ออกมาอีกนั้นอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากควบรวมกิจการ