Derek Blasberg ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งใหม่ของฝ่ายแฟชั่น และบิวตี้ YouTube ที่โลกต้องจับตามอง

หาก อีวา เฉิน คือสตรีผู้อยู่เบื้องหลังคอนเทนต์แฟชั่นของอินสตาแกรม สมการแบบเทียบเท่าของอีวาคือ บุรุษนาม เดเร็ก บลาสเบิร์ก ที่หลายคนอาจคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เพราะเขาเป็นเหมือนเซเลบริตี้ + 1 ที่มักปรากฏตัวในงานสังคม พรมแดงสำคัญๆ แฟชั่นโชว์แถวหน้า หรือแม้แต่งานพระราชพิธีเสกสมรสในราชวงศ์อังกฤษกับเพื่อนดาราคนสนิทตั้งแต่ คารา เดเลวีน, เคที เพอร์รี และ กวินเน็ธ พัลโทรว์ แต่มาถึงวันนี้ หลังจากเคยทำงานกับช่อง CNN และเป็นนักเขียนให้กับ V Magazine และ Vanity Fair เขาก็ได้ย้ายมาเป็นหัวหน้าฝ่ายแฟชั่นและบิวตี้ของ YouTube แพลตฟอร์มสำคัญที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 1.3 พันล้านคนทั่วโลก และใช้เวลาหลายนาทีหรืออาจจะหลายชั่วโมงต่อวันเพื่อดูคอนเทนต์ ไม่ว่าจะเป็น Tutorial, Review, Behind the scenes, Vlog, Live Stream และอีกมากมาย

แต่อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราต้องมาเปิดแฟ้มประวัติของเขา เส้นทางจากนักเรียนดีกรีหัวกะทิ สู่การเป็นหนึ่งผู้ทรงอิทธิพลกว้างขวางต่อโลกแฟชั่นและบิวตี้ ในตำแหน่งสำคัญกับการเป็นหัวเรือของผู้ให้บริการคอนเทนต์วิดีโอที่ใหญ่ที่สุดในโลก อันเป็นการการันตีว่าชายคนนี้ไม่ใช่แค่คนสังคมวงในอย่างที่ใครเข้าใจกัน

เดเร็ก บลาสเบิร์ก เกิดและเติบโตที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เรียกได้ว่าเป็นเด็กเกรด A มาตลอด และไม่เคยโดดเรียน ซึ่งพอเรียนจบไฮสคูล เดเร็กก็ย้ายไปนิวยอร์ก และเริ่มเข้าสู่อาชีพในวงการแฟชั่นด้วยการเป็นเด็กฝึกงานที่มีหน้าที่เขียนประวัตินางแบบให้กับโมเดลลิ่งเอเจนซีอย่าง Elite Model Management เพราะเขารู้จักกับนางแบบที่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์เดียวกัน ช่วงนั้นเดเร็คกำลังเรียนปริญญาตรีทางด้านวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชนที่ New York University โดยต่อมาเดเร็กได้ให้สัมภาษณ์กับ อิมรัน อเมด ผ่านทาง The BoF Podcast: Inside Fashion ว่าในปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย เขาได้ฝึกงานที่นิตยสาร Vogue อเมริกา ร่วมกับดีไซเนอร์ อเล็กซานเดอร์ แวง และ บราด โกเรสกี พิธีกรและแฟชั่นสไตลิสต์ชื่อดังอีกด้วย

เมื่อถึงคราวต้องบอกลาชีวิตเด็กฝึกงาน เขาจึงสมัครเป็นผู้ช่วยฝ่าย Managing Editor ของ Vogue อเมริกา ผู้มีหน้าที่เขียนแคปชันรูปและจัดแจงตารางงาน หลังจากนั้นอีกหนึ่งปี เขาได้ขยับมาในฝั่ง Contributor ให้ Vogue ต่างประเทศ เรื่อยมาจนถึงเว็บไซต์ Style.com, Harper’s Bazaar, W, WWD, WSJ, The New York Times, Teen Vogue, Elle, Interview, Vanity Fair ผลที่ได้ นอกจากฝีมือการเป็นบรรณาธิการมือฉมัง และการร่วมงานกับแบรนด์ดังอย่าง Chanel, Louis Vuitton, H&M, Fendi และเหล่าคนดังอีกนับไม่ถ้วน คือการออกหนังสือเกี่ยวกับมารยาททางสังคมสำหรับสาวๆ ที่มีชื่อว่า Classy: Exceptional Advice for the Extremely Modern Lady ที่ขึ้นแท่น New York Times Best Sellers ภายใน 2 สัปดาห์ เขาจึงเป็นทั้งนักเขียน พิธีกร บล็อกเกอร์ บรรณาธิการ ผู้ให้คำปรึกษา และดาราในเวลาเดียวกัน (ดูได้จากยอดผู้ติดตามในอินสตาแกรมกว่า 870,000 คน)

เมื่อกลางปีที่แล้วยูทูบออกมาประกาศจัดตั้งแผนกใหม่ ซึ่งจะเน้นการควบคุมดูแลเนื้อหาด้านแฟชั่นและบิวตี้ ตามมาด้วยการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Head of Fashion & Beauty Partnerships ของเดเร็ก

“เขาทั้งเข้าใจโลกของการสร้างคอนเทนต์ และเป็นบุคคลที่น่ายกย่องในโลกของสไตล์” เคลลี เมอร์รีแมน รองประธานฝ่าย Content Partnerships ของยูทูบกล่าวกับเว็บไซต์ Vogue.co.uk เกี่ยวกับการร่วมงานครั้งนี้ “เขาจะร่วมงานกับผู้ผลิตคอนเทนต์ชั้นยอด ในการนำความแปลกใหม่และสีสันมาสู่ตลาดได้อย่างแน่นอน”

นอกจากความเข้าใจในพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่แล้ว ความสัมพันธ์อันดีที่เดเร็กมีต่อสื่อ ดีไซเนอร์ ดารา และนางแบบ กลายเป็นแต้มต่อที่เขานำไปสร้างเป็นโปรเจกต์มากมายภายในเวลาไม่กี่เดือนหลังจากได้ตำแหน่ง ทั้งการเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ที่ปรึกษาการไลฟ์สตรีมคอลเล็กชัน Savage x Fenty ของ ริฮานนา และคอลเล็กชัน Autumn/Winter 2019 ของ วิกตอเรีย เบ็คแฮม ที่ภายหลังกลายเป็นการเปิดตัวช่องของวิกตอเรีย ที่พร้อมเสิร์ฟคอนเทนต์แบบอินไซด์ ทั้งการทำงานในฐานะดีไซเนอร์ เคล็ดลับความงาม เวิร์กกิ้งมัม และแน่นอน ครอบครัวแบ็คแฮมของเธอ

หรืออย่างการเกิดขึ้นของช่อง Klossy โดย คาร์ลี คลอส ที่ประสบความสำเร็จ ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงมีเดเร็กเป็นคนให้คำแนะนำ นอกเหนือจากนั้น ทางเดเร็กยังช่วยเปิดช่องใหม่ให้คนในวงการแฟชั่นที่คุ้นเคยกันดีอย่าง มาร์ค จาคอบส์, นาโอมิ แคมป์เบล และ อเล็กซานเดอร์ แวง อีกด้วย

สำหรับยุค Digital Disruption ที่เราเคยพูดถึงกันอยู่บ่อยครั้ง การที่บริษัททั้งเล็กและใหญ่ต่างพากันผลิตวิดีโอคอนเทนต์ เพื่อให้แบรนด์หรือตัวบุคคลเองยังคงมีพื้นที่ในสื่อ สิ่งนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบไปแล้ว จากแบรนด์ที่เคยเป็นผู้ลงโฆษณา ได้กลายเป็นผู้ผลิตโฆษณา, จากดารา นางแบบที่เคยเป็นคนถูกว่าจ้าง ได้กลายมาเป็นโปรดิวเซอร์ผลิตรายการของตัวเอง เราเชื่อเหลือเกินว่า ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้มีเพียงแค่ส่งผลกระทบต่อวงการสื่อบ้านเรา แต่ยังกระทบทั้งฝั่งอเมริกาและหลายภูมิภาคบนโลกที่อินเทอร์เน็ตเข้าถึง

สิ่งเหล่านี้คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องการคนอย่างเดเร็ก ที่จะคอยสร้างสรรค์คอนเทนต์ในรูปแบบใหม่ๆ แง่มุมใหม่ๆ ให้เราได้ติดตาม ได้เสพ ได้เข้าถึง ได้เก็บเป็นแรงบันดาลใจ ในวันที่โลกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ชนิดที่เราต้องคอยอัปเดตกันนาทีต่อนาที