มาร์โก มาเตรัสซี ยืนเคียงคู่อยู่กับ รุย คอสตา ในสนาม แขนของปราการหลังจอมเก๋าของทีม ‘เนรัซซูรี’ เท้าไปที่ไหล่ของจอมทัพแห่งทีม ‘รอสโซเนรี’ ที่ยืนกอดอกมองภาพที่อยู่เบื้องหน้าของเขา
ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสองคือเปลวเพลิงสีแดงและหมอกควันทึบหนาที่เกิดจากพลุแสงจำนวนมากมายมหาศาลที่ถูกโยนลงมาในสนาม
ภาพนี้กลายเป็นหนึ่งในภาพที่ถูกจดจำมากที่สุดของประวัติศาสตร์เกมฟุตบอลยุคโมเดิร์น ในฐานะตัวแทนของ ‘ความสงบ’ ที่เกิดขึ้นได้แม้ในยามที่วุ่นวายโกลาหลมากที่สุด
สเตฟาโน เรลลาดินี ช่างภาพชาวอิตาลีผู้บันทึกภาพระดับไอคอนิกไว้ได้เมื่อ 18 ปีที่แล้วในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เล่าถึงเหตุการณ์เบื้องหลังว่า “ตอนนั้นทุกคนกำลังสนใจไปที่พลุแสงและควันไฟ แต่ใกล้ๆ วงกลมกลางสนามผมมองเห็นอีกสิ่ง”
“มาเตรัสซีปกติแล้วเขาได้สมญาว่าจอมสับ เขาไม่ได้เป็นนักฟุตบอลที่มีความเป็นสุภาพบุรุษนัก รุย คอสตา เป็นคนละขั้วกับเขา เป็นคนที่สุภาพ เป็นจอมศิลปินในเกมฟุตบอล แต่มันเป็นช่วงเวลาหลายวินาทีเลยทีมาเตรัสซีเท้าแขนของเขาลงบนไหล่ของ รุย คอสตา
“ผมเห็นภาพนี้ก็เลยถ่ายไว้ และผมก็ถ่ายจังหวะนี้เอาไว้แค่ภาพเดียว และนี่คือภาพเหตุการณ์ในวันนั้น”
ในเวลาเดียวกัน นี่คือภาพสะท้อนของความเป็นปฏิปักษ์ที่รุนแรงและไม่เคยห่างหายระหว่างสองทีมคู่ปรับแห่งเมืองมิลาน โดยเฉพาะเมื่อต้องลงประจันกันเองในรายการใหญ่อย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
‘Derby della Madonnina’ หรือ ‘มิลาน ดาร์บี’ ฉบับยุโรปนั้นมีความพิเศษกว่าปกติเสมอ
สำหรับเรื่องราวของภาพ เรลลาดินีบันทึกได้นั้นเกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกของฤดูกาล 2004/05
เกมที่ซานซิโรวันนั้นดำเนินมาถึงนาทีที่ 73 แล้ว โดยผลรวม 2 นัดมิลานภายใต้การนำของ คาร์โล อันเชล็อตติ เป็นฝ่ายนำคู่ปรับร่วมเมืองอยู่ 3-0 และเกิดเหตุการณ์ปัญหาเมื่อประตูของ เอสเตบัน กัมบิอัสโซ มิดฟิลด์ห้องเครื่องชาวอาร์เจนไตน์ของอินเตอร์ถูกปฏิเสธจากผู้ตัดสิน และ ดีดา ผู้รักษาประตูชาวบราซิลของมิลานได้รับบาดเจ็บ
ความเดือดดาลของแฟนเนรัซซูรีถึงจุดระเบิด พวกเขาไม่สามารถเก็บมันไว้ได้อีกต่อไป ข้าวของต่างๆ อะไรที่โยนไปได้โดยไม่เสียดาย ไปจนถึงพลุแฟลร์ที่พกติดตัวมาด้วยต่างถูกโยนถล่มลงไปในสนาม เหตุการณ์เต็มไปด้วยความโกลาหลถึงขีดสุดเป็นเวลานาน 15-20 นาที
“มันเหมือนสงครามเลยตอนนั้น” เรลลาดินีบอก
มันนำไปสู่การตัดสินใจของผู้ตัดสินที่จะสั่งยกเลิกเกมนัดนี้ เพราะไม่คิดว่าจะสามารถแข่งขันต่อได้อย่างปลอดภัย ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะตัดสินให้มิลานเป็นผู้ชนะในเกมนี้
“บรรยากาศในคืนนั้นก็เหมือนทุกครั้งที่มิลานเจอกับอินเตอร์ในซานซิโร” เรลลาดินีเล่าต่อ “มันเต็มไปด้วยความร้อนแรงเสมอ พวกเขาไม่ได้ยกพวกตีกันบ่อย แต่การแสดงพลังของแฟนบอลบนอัฒจันทร์นั้นยิ่งใหญ่และสุดยอดมาก ต่อให้เราไม่ได้เป็นนักฟุตบอลเราก็ยังสามารถสัมผัสถึงพลังนั้นได้
“เมื่อย่างเท้าลงไปในสนาม เราจะรู้สึกได้ทันทีว่านี่มันไม่ใช่แค่เกมฟุตบอล มันมีความหมายมากกว่านั้น”
และคุณค่าของแชมป์ยุโรปทำให้ความหมายของเกมนี้ยิ่งมากขึ้นไปอีกจนทำให้แฟนบอลไม่อาจอดรนทนไหว
อย่างไรก็ดี เกมการแข่งขันในวันนั้นเป็นเหมือนภาพความทรงจำที่สวยงามในความยิ่งใหญ่ของสองสุดยอดสโมสรแห่งเมืองมิลาน
เอซี มิลานอยู่ใต้การนำของอันเชล็อตติ สมาชิกจากชุดไร้เทียมทานที่เคยได้แชมป์ยูโรเปียนคัพ 2 สมัยติดในยามเป็นผู้เล่นชุดเดียวกับ ‘สามทหารเสือชาวดัตช์’ รุด กุลลิท, แฟรงค์ ไรจ์การ์ด และ มาร์โก ฟาน บาสเทน ที่พิชิตยุโรปในปี 1989 และ 1990 ซึ่ง ‘คาร์เล็ตโต’ เป็นคนที่ ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี ประธานสโมสรผู้ยิ่งใหญ่ในขณะนั้นไว้ใจ
ผู้เล่นของมิลานในตอนนั้นนอกจาก ดีดา ซึ่งเป็นประตูดีกรีทีมชาติบราซิล พวกเขายังเต็มไปด้วยนักเตะระดับเวิลด์คลาสมากมายไม่ว่าจะเป็น คาฟู, ยาป สตัม, อเลสซานโดร เนสตา และกัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ เปาโล มัลดินี ที่ประกอบร่างเป็นไลน์แบ็กโฟร์อันแข็งแกร่ง
ที่กลางสนามอันเดรีย ปิร์โล ยืนคุมเกมร่วมกับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และจอมขยัน มัสซิโม อัมโบรซินี โดยหน้าที่ในการสร้างสรรค์เกมด้วยจินตนาการเป็นของเทพบุตรลูกหนัง กากา เพื่อป้อนบอลให้กับ เอร์นาน เครสโป และศูนย์หน้าที่เก่งที่สุดในโลกเวลานั้นอย่าง อังเดร เชฟเชนโก
อินเตอร์? มัสซิโม โมรัตติ พยายามลงทุนเสมอเพื่อพาทีมพิชิตอิตาลีให้ได้ มีแกนกลางอย่างกัมบิอัสโซ ที่ผนึกกำลังร่วมกับ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน นักเตะตัวทำเกมที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย
และที่สำคัญพวกเขามี อาเดรียโน ศูนย์หน้าที่ทรงพลังและน่ากลัวที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลสมัยใหม่
แต่ภาพความยิ่งใหญ่ในวันนั้นกลายเป็นอดีตที่ผ่านมายาวไกล หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
กัลโช เซเรียอา ไม่ได้เป็นลีกฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกมานานแล้ว และสโมสรฟุตบอลในอิตาลีก็ไม่ใช่ปลายทางที่เหล่าสุดยอดนักเตะของโลกปรารถนาอีกต่อไป
เงินทองพวกเขาห่างไกลจากบรรดาสโมสรในพรีเมียร์ลีกมากมายนัก สโมสรในอิตาลีแทบทุกแห่งยังคงประสบปัญหาทางการเงิน แม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่างมิลานและอินเตอร์ หรือแม้แต่ทีมที่ถูกมองว่าเป็นมาเฟียลูกหนังอย่างยูเวนตุสเอง
พวกเขาตกเป็นทีมลูกไล่ในเวทียุโรป ตามหลังสโมสรในสเปน อังกฤษ รวมถึงเยอรมนีมายาวนาน
นานมากพอที่แฟนฟุตบอลรุ่นใหม่อาจจะนึกไม่ออกว่าในอดีตสโมสรในเซเรียอาเคยยิ่งใหญ่ขนาดไหน
สโมสรจากอิตาลีทีมสุดท้ายที่ได้ครองแชมเปียนส์ลีกคืออินเตอร์ มิลาน ชุด ‘เทรเบิลแชมป์’ ที่นำโดย โชเซ มูรินโญ ในช่วงเวลาที่ยังคงเป็น ‘The Special One’ ซึ่งมันเกิดขึ้นเมื่อ 13 ปีที่แล้ว
ทีมจากอิตาลีทีมสุดท้ายที่ได้เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศแชมเปียนส์ลีกคือยูเวนตุส ซึ่งนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
และเมื่อเทียบดีกรีกันกับเกมรอบรองชนะเลิศอีกคู่ที่เพิ่งผ่านเกมแรกไปอย่างเรอัล มาดริดและแมนเชสเตอร์ ซิตี้แล้ว มีการเปรียบเทียบเกม ‘Derby della Madonnina’ ว่าเป็นเหมือนเกม B-List
อย่างไรก็ดี ใครจะว่าอะไรก็ช่าง สำหรับชาวเมืองมิลาน สำหรับเนรัซซูรีและรอสโซเนรีแล้ว นี่คือ 2 เกมที่พวกเขาไม่อาจยอมกันและกันได้
มิลานจะกลับมาอยู่ในภาวะสงครามอีกครั้งตั้งแต่วันนี้ยาวไปจนถึงสัปดาห์หน้า
จนกว่าจะรู้ผลกันว่าดาร์บีครั้งนี้ใครจะได้ผ่านเข้าไปชิงถ้วยใบใหญ่ของยุโรป
อ้างอิง: