วันนี้ (6 มีนาคม) ที่อาคารกีฬาเวสน์ 2 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย-ญี่ปุ่น) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทวงพาณิชย์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยแกนนำพรรค ได้แก่ องอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค, วทันยา บุนนาค ประธานคณะทำงานนวัตกรรมการเมืองของพรรค, ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธานคณะทำงานนโยบาย กทม. ของพรรค ร่วมกันเปิดตัว 33 ว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้งาน ‘ประชาธิปัตย์ = ประชาชน DEM FOR ALL’
จุรินทร์กล่าวตอนหนึ่งว่า ประชาธิปัตย์กำลังเปลี่ยน อะไรไม่ดีก็ต้องเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยนไป ทิศทางการแก้ปัญหาก็ต้องเปลี่ยน โลกหมุนไป ประชาธิปัตย์ก็ต้องหมุนตาม ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันโลก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคืออุดมการณ์ประชาธิปัตย์ พร้อมสะท้อนจุดยืน 3 ข้อ
จุดยืนที่ 1 ประชาธิปัตย์จะมุ่งมั่นพาพรรคเดินไปข้างหน้า ไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็งและยั่งยืนต่อไปในอนาคต เพื่อให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นที่พึ่งของคนทั้งประเทศ เป็นที่พึ่งของคนกรุงเทพฯ ตราบชั่วลูกชั่วหลานต่อไปในอนาคต ไม่ใช่เป็นพรรคการเมืองที่พึ่งเฉพาะกิจของคนกรุงเทพฯ
จุดยืนที่ 2 ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าพาประเทศไปสู่ประชาธิปไตย 3 เสาหลัก คือ ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข, ประชาธิปัตย์จะเดินหน้าประชาธิปไตยสุจริต และประชาธิปไตยอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นประชาธิปไตยท้องอิ่ม
จุดยืนที่ 3 ประชาธิปัตย์ขอประกาศไม่เอาธนกิจการเมือง ไม่เอาการเมืองที่ใช้เงินประมูลตัวผู้แทนราษฎร ไม่เอาการเมืองที่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง เพราะนี่คือต้นตอของการถอนทุนคืน การทุจริตคอร์รัปชัน และการนำประเทศและประชาธิปไตยไปสู่หายนะ
ขณะที่วทันยากล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายคนกังวลที่พรรคประชาธิปัตย์เลือดไหล แต่นั่นเป็นเหตุผลที่ตนมาอยู่ตรงนี้ เพื่อบอกกับทุกคนให้มั่นใจว่าประชาธิปัตย์ไม่ได้มีเพียงแต่เลือดไหลออก แต่มีเลือดใหม่อย่างตนและผู้สมัครหน้าใหม่ไหลเข้าอย่างไม่ขาดสาย จากประวัติศาสตร์ทุกมุมโลกจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมมีการสูญเสีย ถือเป็นเรื่องปกติ และประชาธิปัตย์ก็เป็นเช่นนั้น การที่ต้นไม้ใหญ่จะผลิดอกออกผลก็ต้องผลัดใบ เพื่อให้ยุคสมัยหน้าของประชาธิปัตย์ได้ผลิดอกออกผลให้สวยงามยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ทีมกรุงเทพฯ ของพรรคจึงได้เตรียมการสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าด้วยการมีโครงการฟัง คิด ทำ เพราะถือว่าประชาชนเป็นหัวใจสำคัญของพรรค สืบเนื่องถึงการจัดงานในวันนี้ ‘ประชาธิปัตย์ = ประชาชน’ เพราะต้องการย้ำให้เห็นว่าประชาชนอยู่เหนือประชาธิปัตย์ และผู้สมัครทุกคนเป็นอาสาสมัครที่เข้ามาเป็นสะพานเชื่อมต่อโอกาส และแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องคนไทยทุกคน
“การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือเครื่องย้ำชัดว่า อุดมการณ์และความเป็นสถาบันทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ย่อมยืนอยู่เหนือตัวบุคคล และเป็นเหตุผลที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ดำรงอยู่คู่คนไทยมาได้ 77 ปี…วันนี้ขอให้เรากลับมาบ้านหลังเดิม กลับมาช่วยกันทำบ้านหลังนี้เข้มแข็ง อบอุ่น และยิ่งใหญ่ไปกว่าเดิม เพราะบ้านหลังนี้คือบ้านของประชาชนอย่างแท้จริง และเลือดประชาธิปัตย์ยังคงไหลเวียนอยู่ในคนกรุงเทพฯ เสมอ” วทันยากล่าว
ส่วน ศ.ดร.สุชัชวีร์ได้เริ่มต้นด้วยคำถามว่า 4 ปีที่ผ่านมา ปัญหากรุงเทพฯ น้อยลงหรือไม่ ปัญหา PM2.5 มีใครสนใจเราหรือไม่ น้ำท่วมตั้งแต่ลาดกระบัง บางนา พระโขนง ลาดพร้าว ไปจนถึงดอนเมือง มีน้ำทะเลหนุนที่บางพลัด บางกอกน้อย ไปจนถึงบางบอน บางขุนเทียน พรรคประชาธิปัตย์เจ็บปวดเหมือนพี่น้องประชาชน แต่ 4 ปีที่ผ่านมาพรรคไม่มีโอกาส เพราะเราไม่มี ส.ส. ในกรุงเทพฯ เลย ดังนั้นครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ ถ้าปล่อยกรุงเทพฯ ไปอีก 4 ปี ลูกหลานของเราจะอยู่อย่างไร ทุกท่านจะอยู่อย่างไร
“พรรคประชาธิปัตย์อยู่ร่วมกันมา 77 ปี พรรคประชาธิปัตย์คือประชาชน และประชาธิปัตย์พิสูจน์แล้วว่า เราคือพรรคที่เกิดมาเพื่อประชาธิปไตย…อยู่เคียงข้างพี่น้องประชาชนทุกเขตทุกคน” ศ.ดร.สุชัชวีร์กล่าวทิ้งท้าย