วันนี้ (9 กรกฎาคม) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น นราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ดูแลการเลือกตั้งพื้นที่ภาคเหนือ กล่าวถึงความคืบหน้าภายหลังจากที่การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สามารถที่จะเดินหน้าประชุมต่อไปได้ โดยเฉพาะวาระสำคัญคือเลือกหัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ จึงต้องเลื่อนออกไปก่อนว่า เชื่อว่าจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากพรรคเดินทางมาถึงปีที่ 77 ก้าวสู่ปีที่ 78 แล้ว คิดว่าเหตุการณ์ในวันนี้ประชาชนและสมาชิกจะเข้าใจ ซึ่งต้องยอมรับว่าจะต้องปรับเปลี่ยนในการสื่อสารใหม่ทั้งภายในและภายนอก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่หลังจากนี้จะดำเนินการต่อไป เนื่องจากตนเองเป็นแคนดิเดตที่จะถูกเสนอชื่อเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ นราพัฒน์กล่าวว่าจะต้องไปเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับพรรค ที่คณะกรรมการบริหารพรรคจะเรียกประชุม และจะได้พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปให้เป็นไปตามข้อบังคับพรรค ส่วนจะมีการเรียกประชุมในวาระดังกล่าวก่อนวันที่ 13 กรกฎาคม หรือไม่นั้น จะต้องขึ้นอยู่กับการหารือของคณะกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อบังคับพรรคที่กรรมการบริหารพรรคจะมีข้อยกเว้น หรือจะดำเนินการต่อให้ทัน เพราะตามกรอบระยะเวลา 60 วันเป็นไปตามกรอบข้อบังคับพรรค หลังจาก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ลาออกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นข้อบังคับของพรรค ไม่ใช่ระเบียบของ กกต. เพราะฉะนั้น กรรมการบริหารพรรคสามารถไปหารือกันต่อได้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จากเหตุการณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงภาพลักษณ์ของพรรคที่ไม่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันหรือไม่ นราพัฒน์กล่าวว่า นั่นคือปัญหา และเคยพูดตั้งแต่ต้นว่านี่คือเสน่ห์ของการเป็นประชาธิปไตยของพรรค เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน ตนจึงอยากจะบอกกับสมาชิกและเพื่อนๆ ว่าเราต้องเคารพในการตัดสินใจ ว่าหากประชาธิปัตย์จะทำอะไรจะต้องตัดสินใจตามมติ หากมติไปในทิศทางใดก็จะต้องเดินตาม ซึ่งความเห็นส่วนตัวพูดได้ทำได้ แต่ก็ต้องเคารพมติพรรค และเดินไปข้างหน้าด้วยกัน อย่างนี้เราจึงรวมกันเป็นหนึ่งได้ ในอนาคตข้างหน้าเราต้องเป็น One Democrat หรือวันประชาธิปัตย์ให้ได้
นราพัฒน์กล่าวย้ำว่า ตนเองแสดงจุดยืนว่ามีเจตนาที่จะเข้ามาบริหารจัดการ ปรับเหลี่ยมโครงสร้างของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งต้องเอาความเห็นของผู้อาวุโสมาผนวกกับความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ และยุทธวิธีใหม่ๆ และบางครั้งก็คิดในใจว่าจะพิจารณาตัวเองว่าอาจจะอยู่ในตำแหน่งปีครึ่งไม่เกิน 2 ปี เพื่อคืนอำนาจให้กับสมาชิกพิจารณาอีกครั้ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่องค์ประชุมมองหลักเกณฑ์การลงคะแนน 70:30 ไม่เป็นธรรมนั้น นราพัฒน์มองว่า ถ้ารอโอกาสให้มาหารือกันอีกครั้ง อาจจะมีกฎระเบียบกติกาที่ชัดเจน ที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และทุกฝ่ายจะต้องยิ้มได้ ที่จะรวมพลังเดินหน้าไปข้างหน้าได้ พร้อมยอมรับว่า ที่วันนี้เราเป็นแบบนี้เพราะแพ้ภัยตัวเอง แล้ววันนี้เราต้องรวบรวมกับสรรพกำลัง และความเข้าใจ ซึ่งการสื่อสารภายในองค์กรเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าสื่อสารแล้วทำให้เราเดินทางไปในทิศทางเดียวกันได้ก็จะจบ ทำให้การสื่อสารภายนอกง่ายขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าใจว่าเราคือใคร ทำอะไร มีตัวตนอย่างไร และมีแนวคิดอย่างไร และมีทิศทางอย่างไร
นราพัฒน์กล่าวต่อว่า ตนเองได้ตัดสินใจมาสักระยะหนึ่งที่จะลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ พร้อมยืนยันว่ามีผู้ใหญ่มาทาบทามและเสนอมุมมอง อยากหาใครสักคนที่เป็นกลางพูดคุยกับทุกฝ่ายได้ มาเขียนกติกาและกฎเกณฑ์เพื่อให้วันข้างหน้ารวมกันเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ ซึ่งเป็นเหตุผลที่สอดคล้องกับความคิดของตนอยู่แล้ว พร้อมยอมรับว่ามีบทเรียนที่เราไม่ได้รวมกันจึงทำให้พลังเราลดลง และยินดีหากมีสมาชิกมาสนับสนุนก็จะขับเคลื่อนกติกาและข้อบังคับโครงสร้างพรรคให้ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์ทันต่อโลก
เมื่อผู้สื่อข่าวถามกรณีที่ตอนนี้เหลือระยะเวลาอีกประมาณ 30 วันจะถือโอกาสหาเสียงไปในตัวด้วยหรือไม่ นราพัฒน์ระบุว่า ยังไม่ทราบว่าคณะกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณาและกำหนดวันเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเมื่อไร แต่หากมีการพูดคุยและปรับความเข้าใจกันแล้วพรรคมีทิศทางที่ดี ไม่จำเป็นต้องเป็นตนก็ได้ แต่หากใครมีความคิดแบบตนและสามารถทำให้พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้าด้วยความเข้มแข็งต่อไปได้ ก็ยินดีหากคนนั้นจะมาเป็นผู้นำให้ แต่ยืนยันว่าตนเองก็พร้อมที่จะอาสามาทำหน้าที่หัวหน้าพรรค ถ้าหากสมาชิกลงคะแนนให้ตนเองได้เป็นก็ยินดี