ถือเป็นความท้าทายครั้งใหญ่ของธุรกิจอุตสาหกรรมการบินสำหรับสายการบินในสหรัฐอเมริกา เมื่อความต้องการเดินทางทางอากาศพุ่งทะยานทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา แต่ไม่สามารถสร้างผลกำไร กลายเป็นโจทย์ปัญหาหลักที่ผู้ให้บริการเดินทางทางอากาศเหล่านี้ต้องชี้แจงถึงความไม่สอดคล้องดังกล่าวในระหว่างการเปิดเผยผลประกอบการของธุรกิจรายไตรมาสในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้
เว็บไซต์ข่าวสถานีโทรทัศน์ CNBC รายงานอ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานรักษาความปลอดภัยด้านการขนส่ง (Transportation Security Administration) ซึ่งระบุว่า แค่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา (7 กรกฎาคม) เพียงวันเดียว สามารถบันทึกผู้เข้าใช้บริการเดินทางทางอากาศได้มากถึง 3 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการเดินทางที่เพิ่มมากขึ้นกลับไม่ได้เป็นตัวการันตีรายได้ของบรรดาสายการบินให้มากขึ้นตาม โดยส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากต้นทุนการดำเนินการงานที่สูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าแรงของพนักงาน ค่าเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อผลกำไรของสายการบิน
ขณะเดียวกัน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเติบโตของความต้องการที่ช้าลงและความท้าทายอื่นๆ สายการบินบางรายยังตัดสินใจชะลอหรือระงับการจ้างงานไว้ชั่วคราว เพื่อประคองสถานการณ์ของธุรกิจ ขณะที่บางสายการบินก็เผชิญกับความล่าช้าในการจัดส่งเครื่องบินรุ่นใหม่ที่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นจากผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อย่าง Airbus และ Boeing กลายเป็นข้อจำกัดในการขยายการให้บริการเพื่อเพิ่มช่องทางรายได้ อีกทั้งปัญหาการส่งมอบเครื่องบินยังมีแววล่าช้าจากกำหนดการเดิม เมื่อมีปัญหาเรื่องการเรียกคืนเครื่องยนต์ของ Pratt & Whitney ส่งผลให้เครื่องบินไอพ่นหลายสิบลำต้องหยุดให้บริการ
อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของบริษัทข้อมูลการบิน OAG พบว่า สายการบินต่างๆ ของสหรัฐฯ ก็ได้เพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการอย่างเต็มที่ โดยสามารถบินได้เพิ่มขึ้นประมาณ 6% ในเดือนกรกฎาคม มากกว่าที่เคยทำในช่วงเดือนเดียวกันของปี 2023 ซึ่งช่วยให้คุมราคาตั๋วเครื่องบินได้มากขึ้น
แต่โดยรวมแล้วหุ้นกลุ่มสายการบินยังคงปรับตัวร่วงลงเมื่อเทียบกับสถานการณ์โดยรวมของตลาด ทั้งนี้ ดัชนี NYSE Arca Airline Index ซึ่งติดตาม 16 สายการบินทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่เป็นสายการบินในสหรัฐฯ พบว่าดัชนีดังกล่าวปรับตัวลดลงเกือบ 19% ในปีนี้ ขณะที่ S&P 500 กลับขยับขึ้นไปมากกว่า 16%
Savanthi Syth นักวิเคราะห์ของ Raymond James กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (5 กรกฎาคม) ว่า เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของอุตสาหกรรมการบินในปัจจุบัน สถานการณ์ของผลประกอบการสายการบินในไตรมาส 3 จึงยังคงไร้ความชัดเจน เพราะแม้จะมีปัจจัยหนุนความต้องการเดินทางทางอากาศ อย่างมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ในกรุงปารีส และการเปลี่ยนแปลงความต้องการเดินทางของกลุ่มองค์กร แต่ก็ยังมีปัจจัยท้าทายอย่างกำลังการบริโภคที่อ่อนแอลง และราคาตั๋วเครื่องบินที่ลดลงจากการที่บรรดาสายการบินขยายเส้นทางการให้บริการเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เหล่านักลงทุนจะได้รับข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการของช่วงที่เหลือของปี ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ซึ่งบรรดาสายการบินต่างๆ จะทยอยรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 โดยเริ่มจาก Delta Air Lines ซึ่งจะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ (11 กรกฎาคม) ซึ่งขณะนี้นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งค่อนข้างให้มุมมองทางบวกแก่ Delta Air Lines เพราะที่ผ่านมาเป็นสายการบินที่มีผลประกอบการที่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนหนึ่งเป็นผลจากความสำเร็จของสายการบินในการทำการตลาดที่นั่งระดับพรีเมียมที่มีราคาแพงกว่าที่นั่งทั่วไป แต่ก็ยังมีราคาถูกว่าที่นั่งชั้นธุรกิจ และข้อตกลงที่ให้ผลกำไรกับ American Express
ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา Delta Air Lines ถือเป็นสายการบินที่ทำกำไรได้มากที่สุดของสหรัฐฯ โดยมีกำไรประจำไตรมาส 2 ที่ 2.20-2.50 ดอลลาร์ต่อหุ้น โดยนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา หุ้นของ Delta Air Lines และ United Airlines ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 14% ในปีนี้จนถึงวันที่ 5 กรกฎาคม ซึ่งเป็นกลุ่มที่โดดเด่นในกลุ่มที่ส่วนใหญ่ลดลงในปีนี้ ขณะที่หุ้น Alaska Airlines ร่วงลงประมาณ 2%
ขณะเดียวกันมีรายงานว่า สายการบินที่ขาดทุนในช่วงที่ผ่านมา เช่น jetBlue และ Frontier Airlines ต่างเร่งดำเนินการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและปรับปรุงการให้บริการ เพื่อให้พลิกฟื้นกลับมาทำรายได้และกำไรอีกครั้ง โดย jetBlue ได้ตัดเที่ยวบินที่ไม่ทำกำไรในปีนี้ และทำให้แน่ใจว่าเครื่องบินที่ติดตั้งห้องโดยสารระดับธุรกิจในกลุ่มไฮเอนด์ ซึ่งตั๋วมีราคาถูกกว่าค่าโดยสารรถโค้ชมากกว่า 4 เท่า อยู่ในเส้นทางที่ถูกต้อง
ในขณะเดียวกัน Frontier Airlines และ Spirit Airlines ซึ่งเป็นพันธมิตรที่มีส่วนลดอื่นๆ ได้ยกเลิกค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนแปลงตั๋วโดยสาร ซึ่งสายการบินราคาประหยัดทั้งสองแห่งประกาศในเดือนพฤษภาคมว่า ทางสายการบินจะเริ่มเสนอค่าโดยสารแบบรวม เพื่อรวมการกำหนดที่นั่งและส่วนเสริมอื่นๆ ที่พวกเขาเคยเรียกเก็บ
ด้าน Spirit Airlines ซึ่งได้รับผลกระทบจากคำตัดสินของผู้พิพากษาที่ขัดขวาง jetBlue จากการซื้อสายการบิน แถมยังได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการสั่งห้ามบินของเครื่องบินที่ติดตั้งเครื่องยนต์ Pratt & Whitney ได้ออกมาเตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า อาจต้องพักงานนักบินราว 200 คนในปีนี้ กระนั้นในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีของ Spirit Airlines ในเดือนมิถุนายน Ted Christie ซีอีโอ ได้บอกปัดรายงานที่ Spirit Airlines กำลังพิจารณายื่นขอความคุ้มครองการล้มละลายตามบทที่ 11 โดยจะมีการชำระหนี้มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ที่จะครบกำหนดในเดือนกันยายน 2025
อ้างอิง: