การใช้จ่ายด้านกลาโหมทั่วโลกกำลังทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยในปี 2024 คาดว่าจะมีรายจ่ายทางการทหารสูงถึง 2.48 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังมีข้อผูกพันด้านงบประมาณที่สูงยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ในอนาคต รายงานประจำปีด้านงบประมาณกลาโหมปี 2025 ของ Janes (Janes 2025 Defense Budget Annual Report) คาดการณ์ว่าในปี 2025 งบประมาณจะเพิ่มขึ้นอีก 3.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 8.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการเพิ่มงบประมาณทางการทหารในยุโรป รัสเซีย เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันออกกลาง
ในการประชุมสุดยอดนาโต้ครั้งประวัติศาสตร์ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ประมุขแห่งรัฐ หัวหน้ารัฐบาล และผู้นำชาติพันธมิตรของนาโต้ ได้มีมติรับรองปฏิญญาการประชุมสุดยอดโดยให้คำมั่นที่จะสมทบงบประมาณ 5% ของ GDP ในด้านกลาโหม ในจำนวนนี้ 3.5% จะถูกจัดสรรสำหรับความต้องการหลักด้านกลาโหม และอีก 1.5% สำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและกลาโหม เช่น โครงสร้างพื้นฐานและภาคอุตสาหกรรม ซึ่งนับเป็นการยกระดับครั้งสำคัญจากเกณฑ์ขั้นต่ำเดิมที่ 2% ของ GDP และเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความเร่งด่วนที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มพันธมิตรในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ความมั่นคงของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ท่ามกลางสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคที่ยังดำเนินอยู่ รัฐบาลไทยเดินหน้าโครงการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ที่สำคัญเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการป้องกันประเทศและปกป้องผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ ล่าสุด กองทัพอากาศไทยได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีสำหรับโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen-E/F จำนวน 12 ลำแบบแบ่งระยะภายใน 10 ข้างหน้า ด้วยงบประมาณราว 6 หมื่นล้านบาท การลงทุนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมสร้างความได้เปรียบทางอากาศท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจในภูมิภาคที่เพิ่มสูงขึ้น และรับประกันว่าประเทศไทยจะยังคงไว้ซึ่งขีดความสามารถในการป้องปรามที่เชื่อถือได้
ในขณะเดียวกัน กองทัพเรือไทยก็ได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีสำหรับโครงการจัดซื้อเรือฟริเกตใหม่จำนวน 2 ลำ ด้วยงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท การจัดหาครั้งนี้คาดว่าจะช่วยยกระดับความมั่นคงทางทะเลของไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ และขยายขีดความสามารถในการปกป้องเส้นทางคมนาคมทางทะเลและทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญ ซึ่งจะช่วยตอกย้ำบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยความจำเป็นเร่งด่วนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในการจัดซื้อจัดจ้างด้านกลาโหมทั่วโลก งาน Defense & Security 2025 จึงเตรียมพร้อมที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะเวทีด้านข้อมูลข่าวสารและการจัดซื้อจัดจ้างสำหรับภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม งานนี้จัดขึ้นทุกสองปีต่อเนื่องมาเป็นเวลา 22 ปี และได้สร้างชื่อเสียงในฐานะนิทรรศการ การประชุม และเวทีสร้างเครือข่ายด้านการป้องกันประเทศสามเหล่าทัพและความมั่นคงภายในที่ทรงอิทธิพลที่สุดของอาเซียน
งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10-13 พฤศจิกายน 2025 ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี กรุงเทพฯ และคาดว่าจะเป็นการจัดงานครั้งที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยจะมีบริษัทชั้นนำกว่า 580 แห่งจากภาคส่วนต่างๆ ของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเข้าร่วมจัดแสดง พร้อมด้วย 28 พาวิลเลียนจากชาติต่างๆ ที่จะมาจัดแสดงนวัตกรรมระดับโลก คาดว่าจะมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงกว่า 350 คนจาก 35 ประเทศเข้าร่วมงาน ตลอดจนผู้เข้าชมงานจากแวดวงอุตสาหกรรมกว่า 26,000 คนจาก 65 ประเทศ
งาน Defense & Security 2025 จะมีการจัดแสดงเทคโนโลยีหลากหลายประเภท ตั้งแต่ระบบอาวุธ ขีปนาวุธ รถถัง อากาศยานไร้คนขับ (UAV) และยานพาหนะลำเลียง ไปจนถึงเรือรบ ดาวเทียม และอุปกรณ์โทรคมนาคม นอกจากนี้ ระบบป้องกันอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีควบคุมการยิง แท่นยิง โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์ และเทคโนโลยีรับมือภัยพิบัติก็จะถูกจัดแสดงอย่างโดดเด่นเช่นกัน
สำหรับด้านความมั่นคงภายใน นิทรรศการจะนำเสนอเทคโนโลยีการตรวจการณ์ที่ล้ำสมัย รวมถึงกล้องวงจรปิด (CCTV) และระบบตรวจจับผู้บุกรุก ควบคู่ไปกับโซลูชันควบคุมการเข้าออก อาวุธปืนพกส่วนบุคคล เสื้อเกราะ อุปกรณ์ปราบจลาจล อุปกรณ์ป้องกันภัย เทคโนโลยีมองเห็นในเวลากลางคืน และอุปกรณ์รบกวนสัญญาณสื่อสารขั้นสูง
นอกเหนือจากส่วนนิทรรศการแล้ว ภายในงานยังประกอบด้วยโปรแกรมการแบ่งปันความรู้และการสาธิตสดอย่างเข้มข้น การสัมมนานานาชาติจะหยิบยกประเด็นเร่งด่วนขึ้นมาหารือ เช่น นานาชาติควรรับมือกับการมาถึงของระบบอาวุธสังหารอัตโนมัติ (Lethal Autonomous Weapons Systems – LAWS) อย่างไร และจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลด้านความมั่นคงทางอวกาศแบบใด นอกจากนี้ ช่วง Tech Talks และการสาธิตสดจะนำเสนอการเจาะลึกในประเด็นต่างๆ เช่น การสงครามเรือรบสมัยใหม่, การป้องกันภัยทางอากาศระยะใกล้ (ShoRad) และแง่มุมด้านความปลอดภัยของเทคโนโลยีอวกาศ
ในขณะที่เทคโนโลยีด้านกลาโหมมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นานาชาติต่างเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างศักยภาพในการป้องปราม การยกระดับยุทธศาสตร์การป้องกัน หรือการพัฒนาระบบอัตโนมัติและระบบตรวจการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในยุคที่การป้องกันประเทศทั่วโลกทวีความสำคัญและต้องตัดสินใจครั้งสำคัญนี้ งาน Defense & Security 2025 จะเป็นเวทีที่ภาครัฐ ผู้นำในอุตสาหกรรม และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมจะได้มาพบปะกัน เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตของความมั่นคง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานนี้ได้ที่ www.asiandefense.com
ภาพ: U.S. Army Photo by Joseph Kumzak