ความล้มเหลวของทีมเซปักตะกร้อชายไทยในซีเกมส์ 2025 ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะเกมใดเกมหนึ่ง หากแต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาที่สะสมมาอย่างยาวนาน และถูกพูดถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง
หลังจบการแข่งขัน เสียงจากบุคคลในวงการที่ผ่านทั้งชัยชนะและความพ่ายแพ้ ต่างชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ หากเป็นผลลัพธ์ของระบบที่ไม่พร้อมจะรับมือกับโลกกีฬาที่เปลี่ยนไป และนี่คือเสียงจาก “ตำนาน” ที่ช่วยอธิบายความล้มเหลวของเซปักตะกร้อชายไทยในซีเกมส์ 2025
พันตำรวจโทสืบศักดิ์ ผันสืบ ตำนานเซปักตะกร้อไทย ซึ่งปัจจุบันทำหน้าที่ผู้จัดการทีมเซปักตะกร้อหญิงชุดซีเกมส์ 2025 ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาหลังจบเกมว่า “เสียดาย” แต่ในความเสียดายนั้น เขาได้อธิบายถึงแก่นของปัญหาที่หลายคนมองข้าม นั่นคือการปลูกฝังแนวคิดในการรับมือกับความกดดันในเกมระดับนานาชาติ
เขาชี้ว่า ในการแข่งขันจริง นักกีฬาต้องเผชิญทั้งแรงกดดันจากความคาดหวัง แรงกดดันจากบรรยากาศในสนาม รวมถึงคู่แข่งที่มุ่งมั่นอยากจะเอาชนะทีมอันดับหนึ่งให้ได้
“มวยรองเขาสบายใจ แต่มวยต่ออย่างเราเล่นยาก ถ้าเราเล่นไม่ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ผมว่าเราลำบาก” พ.ต.ท. สืบศักดิ์กล่าว
“ตั้งแต่วันแรกที่ฝึกซ้อม เราต้องจริงจังกับการเตรียมรับมือความกดดันจากการแข่งขัน เพราะเราเจอสารพัดคู่ต่อสู้ที่อยากเอาชนะเรา และนี่คือข้อพิสูจน์ว่าแนวคิดที่วางไว้ น้องๆ ทีมหญิงสามารถทำได้จริง และปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่อง”
ในขณะเดียวกัน เจ้าของฉายา “โจ้ หลังเท้า” ยังสะท้อนมุมมองเชิงโครงสร้างว่า การพัฒนาทีมชาติไม่ควรยึดติดกับนักกีฬาชุดเดิมมากเกินไป การประเมินควรดูที่มาตรฐานรายบุคคลเป็นหลัก หากอายุมากขึ้นแล้วไม่สามารถรักษามาตรฐานเดิมได้ ก็ต้องกล้าตัดสินใจ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กรุ่นใหม่ที่มีความมุ่งมั่นและแรงผลักดันเข้ามาแทน
“เราต้องพัฒนาเยาวชน ต้องดึงเด็กที่จบมัธยม เข้ามหาวิทยาลัยเข้ามาเติมทีมให้มากขึ้น อย่าไปห่วงนักกีฬาเก่าๆ มากนัก บางทีเราไม่ต้องวัดกันที่แพ้หรือชนะ แต่วัดกันที่ตัวบุคคลเลยว่า ยังรักษามาตรฐานเดิมได้หรือไม่ ถ้าฟอร์มตกหรือเท่าเดิมก็ต้องยอมตัด เอาความมุ่งมั่นของเด็กรุ่นใหม่ที่อยากสร้างชื่อเสียงมาเล่นดีกว่า ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นการเสียโอกาสของเด็กใหม่ๆ”
ด้าน พรชัย เค้าแก้ว อดีตตัวฟาดทีมชาติ และตำนาน 18 เหรียญทองซีเกมส์ สะท้อนปัญหาในมุมที่ใกล้เคียงกัน พร้อมเสริมว่า ความเข้มข้นในการฝึกซ้อมและระเบียบวินัยของนักกีฬารุ่นปัจจุบัน แตกต่างจากในอดีตอย่างเห็นได้ชัด
เขาเล่าว่า ในยุคก่อน รายละเอียดเล็กน้อยอย่างการกิน การพักผ่อน และการศึกษาคู่แข่ง ล้วนถูกควบคุมอย่างเข้มงวด ขณะที่ปัจจุบัน เสียงสะท้อนจากนักกีฬาหลายคน รวมถึงผลงานในสนาม บ่งชี้ว่าความเข้มข้นและวินัยอาจลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสภาพร่างกายเมื่อเข้าสู่การแข่งขันจริง
“เรื่องการฝึกซ้อมผมไม่รู้ว่าเขาซ้อมกันแบบไหน แต่ได้ยินเสียงสะท้อนจากน้องๆ ว่าความเข้มข้นและระเบียบวินัยไม่เข้มเหมือนก่อน ยุคก่อนจะเป๊ะมาก ทั้งเรื่องการกิน การพักผ่อน และการศึกษาคู่แข่ง
“ถ้าเทียบกันแล้ว ความฟิตของนักกีฬาชุดนี้ดูแตกต่างจากเดิม อาจเป็นเพราะความเข้มข้นในการฝึกซ้อมลดลง ทำให้นักกีฬาไม่ฟิตเท่าเก่า ซึ่งเห็นได้ชัดในสนาม โดยเฉพาะจังหวะเสิร์ฟและการฟาด หากร่างกายไม่ฟิต ความคมและความเร็วจะลดลง และยิ่งอยู่ภายใต้ความกดดัน ก็ยิ่งเห็นชัด”
พรชัยยังชี้ให้เห็นว่า การแข่งขันระดับสูงภายในประเทศที่มีน้อยเกินไป ทำให้นักกีฬาไทยไม่คุ้นชินกับบรรยากาศกดดัน แตกต่างจากมาเลเซียที่มีการแข่งขันตลอดปีต่อหน้าคนดูจำนวนมาก และเวียดนามที่เก็บตัวฝึกซ้อมอย่างต่อเนื่อง
“การแข่งขันระดับสูงของบ้านเรามีน้อย ลีกไม่มี รายการแข่งก็มีจำกัด ขณะที่มาเลเซียมีโปรแกรมแข่งตลอดทั้งปี คนดูแน่นสนาม นักกีฬาคุ้นเคยกับความกดดัน เวลาเจอเราเขาไม่ตื่นสนาม แต่บ้านเรามีแข่งน้อย คนดูน้อย การเรียนรู้เรื่องความกดดันก็ต่างกัน
“ผมอยากเห็นตะกร้อลีกที่แข่งทั้งปี ไม่ใช่มีแค่ 3-4 เดือน เพราะการเตรียมทีมของเรามีแค่เก็บตัวซ้อมอย่างเดียว ขาดบรรยากาศการแข่งขันที่เข้มข้น ซึ่งเมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ แต่ผมมองว่ามันไม่ดี เพราะนักกีฬาไม่มีแมตช์แข่งต่อเนื่อง
“ส่วนเวียดนาม แม้จะไม่มีลีก แต่เขาเก็บตัวต่อเนื่อง เดินสายแข่ง และมาเก็บตัวที่บ้านเรา ทำให้นักกีฬาพัฒนาได้ทุกปี”
ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้าง อาจารย์กมล ตันกิมหงส์ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ซึ่งอยู่กับทีมยาวนานตั้งแต่ซีเกมส์ 1995 ถึง 2023 พยายามส่งสัญญาณเตือนมาโดยตลอดว่า ปัญหาหลักของเซปักตะกร้อไทยไม่ใช่เรื่องฝีมือ แต่คือเรื่องของ “ระบบ”
หัวใจสำคัญคือ การมีนักกีฬาทีมชาติเพียง “ชุดเดียว” โดยไม่มีทีมสำรองหรือทีมเยาวชนรองรับ เมื่อทีมชุดใหญ่ต้องแบกรับภาระการแข่งขันทั้งหมด และไม่มีระบบเตรียมนักกีฬารุ่นใหม่อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ช่องว่างระหว่างรุ่นจึงกว้างขึ้นเรื่อยๆ
“เมื่อก่อนในแคมป์ทีมชาติ เราเรียกนักกีฬามาเก็บตัวเยอะจนแบ่งได้หลายทีม แต่เพราะเราชนะมาตลอด จึงลดจำนวนลง กกท.กำหนดให้เก็บตัวได้แค่ 18 คน ถ้าจะเรียกมากกว่านั้นต้องใช้งบสมาคมฯ ซึ่งถูกมองว่าสิ้นเปลือง เพราะคิดว่า 18 คนก็เพียงพอแล้ว
“แต่ผมบอกว่า วันนี้เราชนะเขา แล้วอนาคตล่ะ เมื่อทีมชุดนี้หมด คุณลองยกชื่อดาวรุ่งขึ้นมาสิ ว่ามีใครพร้อมขึ้นมาแทนบ้าง
“หลังๆ เรามีแค่ทีมชุดใหญ่ชุดเดียว นักกีฬา 18 คน แบ่งเป็นชุด A B C ไม่มีทีมเยาวชนหรือทีมสำรองในแคมป์เลย พอมีปัญหา เราไม่มีตัวที่เตรียมไว้ล่วงหน้า”
“ในแคมป์ทีมชาติควรมีอย่างน้อยสองทีม ทีมสองควรมีตัวสำรองตำแหน่งละ 2-3 คน เก็บไว้ 1-2 ปี ประเมินผล ดูว่าใครต่อยอดได้
“ต้องเตรียมเด็กตั้งแต่อายุ 18 ปี ตอนนี้เรามีดาวรุ่งเยอะ แต่ขาดโอกาส อย่างทีมนักเรียนไทย นักเรียนอาเซียน ที่ได้แชมป์แล้วก็หายไป เพราะเด็กไม่รู้จะไปต่อที่ไหน
“เราควรดึงเขาเข้ามาอยู่ในแคมป์ทีมชาติ สร้างเป็นทีมอีกชุดหนึ่ง เก็บประสบการณ์ และเวลาไปแข่ง ก็พาเด็กใหม่ติดไปสักคน ให้รุ่นพี่ช่วยประคอง”
เมื่อมองภาพรวมจากคำให้สัมภาษณ์ของทั้งสามคน จะเห็นได้ชัดว่า ความล้มเหลวของเซปักตะกร้อชายไทยในซีเกมส์ 2025 ไม่ใช่ปัญหาของนักกีฬาเพียงอย่างเดียว หากเป็นผลลัพธ์ของระบบการพัฒนา การเตรียมทีม และการจัดการความกดดัน ที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงของกีฬาระดับสูงในปัจจุบัน
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ใครผิด” แต่คือ “เราพร้อมจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่” เพราะในโลกกีฬาที่คู่แข่งพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การยึดติดกับความสำเร็จในอดีต อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่อันตรายที่สุด และหากบทเรียนจากซีเกมส์ 2025 ยังไม่ถูกนำไปใช้ ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ก็อาจไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของเซปักตะกร้อไทยบนเวทีนานาชาติ
ภาพ: สมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย


