First Republic ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือสูงและแข็งแกร่งในภาคการธนาคารสหรัฐฯ ได้เผชิญคลื่มลมที่ถาโถมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนในที่สุดป้อมปราการก็ไม่อาจทนต่อไปได้ นำไปสู่การล่มสลายและขายให้กับ JPMorgan ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกา
รายงานของ The Wall Street Journal ได้เผยถึงการวิเคราะห์วิกฤตอย่างละเอียด จนทำให้เห็นปัจจัยหลายประการที่ทำให้ First Republic ไม่สามารถจัดการกับสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนในที่สุดก็ไม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้
การล่มสลายของ First Republic นับเป็นความล้มเหลวของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ รองจาก Washington Mutual Inc. ในปี 2008
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- อนาคตที่ยังเลือนรางของ First Republic Bank หลัง FDIC ส่งคำเชิญให้สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่เข้าประมูลซื้อกิจการ
- First Republic จ่อล้ม! FDIC เตรียมเข้าพิทักษ์ทรัพย์ หลังเงินไหลออกไม่หยุด-ความเชื่อมั่นทรุด ผู้เชี่ยวชาญชี้เป็นเหยื่อรายต่อไปของ Perfect Storm
- จุดจบธนาคาร First Republic! เมื่อ JPMorgan ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เป็นผู้ชนะการประมูลเข้าซื้อกิจการ แม้รัฐไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ยังเป็นจุดจบของกลยุทธ์ที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดอย่างหนึ่งในวงการธนาคาร นั่นคือการดึงดูดลูกค้าที่ร่ำรวยด้วยการให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม
First Republic รวบรวมลูกค้าเหล่านี้โดยจ่ายดอกเบี้ยขั้นต่ำให้พวกเขา และใช้เงินฝากของพวกเขาเพื่อเป็นทุนในการจำนองเงินฝากที่มากขึ้น หมายถึงเงินกู้ที่มากขึ้นสำหรับโครงการคอนโดในแมนฮัตตันหรือบ้านหลังที่สองในฮาวาย
สินเชื่อเหล่านี้แทบไม่มีผลเสียเลยในโลกที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมาก ดังนั้นโมเดลแบบเก่าจึงให้ผลกำไรที่งดงามอย่างมาก สะท้อนได้จากกำไรประจำปีของ First Republic ที่เพิ่มขึ้น 4 เท่าในทศวรรษจนถึงปี 2021 และขึ้นเป็น 1 ใน 20 ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา
ในทางกลับกัน โฟกัสหลักในธุรกิจของ First Republic ที่เป็นการจำนองที่ให้ผลตอบแทนต่ำและมีอัตราดอกเบี้ยคงที่ กลายเป็นความเสี่ยงเมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเริ่มสูงขึ้น
พูดง่ายๆ คือ แหล่งรายได้หลักของ First Republic มาจากสินเชื่อบ้านที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ในปี 2022 สินเชื่อของ First Republic มากกว่าครึ่งหนึ่ง เป็นการจำนองที่อยู่อาศัยโดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.89% ซึ่งในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ธนาคารก็ประสบปัญหาการรักษาความสามารถในการทำกำไร
นอกจากนี้ธนาคารไม่ได้กระจายผลิตภัณฑ์สินเชื่อของตน ซึ่งหมายความว่า ไม่ได้เสนอสินเชื่อประเภทอื่น เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อรถยนต์ การขาดความหลากหลายในบริการของพวกเขาทำให้ธนาคารมีความเสี่ยง เนื่องจากไม่มีแหล่งรายได้หลายแหล่งมากพอที่จะถอยมาตั้งหลักเมื่อธุรกิจหลักเผชิญกับความท้าทาย
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับ First Republic คือ การไม่สามารถรักษาลูกค้าไว้ได้ แม้ว่าธนาคารจะพยายามเสนออัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นสำหรับบัตรเงินฝาก แต่ก็ไม่สามารถหยุดลูกค้าจำนวนมากไม่ให้ออกไปได้ ส่งผลให้จำนวนเงินที่ฝากในธนาคารลดลงอย่างมาก
การไหลออกของเงินฝากนี้ ทำให้ธนาคารต้องพึ่งพาเงินกู้จากรัฐบาลและแหล่งเงินกู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นอย่างมาก ซึ่งท้ายที่สุดแล้วทำให้วิกฤตรุนแรงขึ้น
ความพยายามครั้งสุดท้ายเพื่อทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพ ธนาคารขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งตกลงที่จะฝากเงิน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ในธนาคาร First Republic น่าเสียดายที่การอัดฉีดเงินสดนี้พิสูจน์แล้วว่า ไม่เพียงพอที่จะป้องกันการถอนเงินฝากจำนวนมหาศาล และการล่มสลายของธนาคารก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ตลอดช่วงวิกฤตดูเหมือนว่าฝ่ายบริหารของ First Republic จะหนักใจกับสถานการณ์ที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ความพยายามของธนาคารที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในบัตรเงินฝากและการอัดฉีดเงินสดจากธนาคารอื่นๆ นั้นไม่เพียงพอที่จะป้องกันการล่มสลาย
ในที่สุด หน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเข้าแทรกแซงและขายการดำเนินงานส่วนใหญ่ของ First Republic ให้กับ JPMorgan Chase นี่เป็นจุดจบที่น่าเศร้าสำหรับธนาคารที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเสาหลักของอุตสาหกรรม
เรื่องราวของ First Republic Bank กลายเป็นคำเตือนสำหรับธนาคารอื่นๆ เกี่ยวกับความสำคัญของการปรับตัวและมีกลยุทธ์การจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิภาพ
ภาพ: Justin Sullivan / Getty Images
อ้างอิง: