วันนี้ (17 พฤศจิกายน) ที่ทำเนียบรัฐบาล ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการทำประชามติในการยกเลิก MOU43-44 โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดชัดเจนว่าต้องรอฟังความเห็นของสส.และ สว. ก่อน
โดยในเบื้องต้นเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย มอบหมายให้ตนเองไปพูดคุยกับคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกเลิก MOU43-44 ทั้ง 2 สภา เพื่อให้ไปเดินหน้าเปิดเวทีให้ความรู้ และรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน โดยจะเชิญทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยกับการยกเลิกและไม่เห็นด้วยกับการยกเลิกไปดีเบตกัน ในเวทีต่างๆ โดยเฉพาะเวทีในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบชายแดน ทั้ง 7 จังหวัด รวมถึงเปิดเวทีดีเบตในภาคอื่นๆ ด้วย
ภราดรเปิดเผยว่า ได้พูดคุยกับ นพดล อินนา สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการยกเลิก MO43-44 ของวุฒิสภา ซึ่งก็ไม่ขัดข้องที่จะทำเวทีดีเบต และในส่วนของค่าใช้จ่ายรัฐบาลจะเป็นผู้ดำเนินการสนับสนุน
ส่วนกรณีที่มีการถูกตั้งคำถามว่าทำไมรัฐบาลไม่ใช้มติในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อยกเลิก ภราดรกล่าวว่า เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นที่จะให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ซึ่งการจะมีส่วนร่วมได้นั้น ประชาชนต้องทราบข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ซึ่งพรรคภูมิใจไทย มีการแสดงจุดยืนมานานแล้วว่าเห็นไปในทิศทางใด แต่เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาล ก็จำเป็นที่จะต้องรับฟังเสียงของคนอื่นด้วย
- ยืนยันไทม์ไลน์ยุบสภายัง 31 ม.ค. เหมือนเดิม
สำหรับการเตรียมพร้อมรับมือการอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ ภราดรระบุว่า ต้องรอดูว่าฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ เชื่อว่า ทุกคนใน ครม. พร้อมที่จะชี้แจงอยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่ โสภณ ซารัมย์ รองนายกรัฐมนตรี มีข้อเสนอให้ฝ่ายค้านยื่นอภิปรายทั่วไป ตามมาตรา 152 รัฐบาลมีแนวทางอย่างไร ภราดรกล่าวว่า โสภณพูดในนามส่วนตัว แต่ในนามรัฐบาล นายกรัฐมนตรีได้ออกแถลงการณ์ไปแล้วว่า พร้อมให้ฝ่ายนิติบัญญัติเดินหน้าเดินหน้าตรวจสอบ และพร้อมเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ พร้อมชี้แจงในประเด็นต่างๆ
ขณะที่การประชุมพรรคร่วมรัฐบาลวานนี้ (16 พฤศจิกายน) ได้ยืนยันกับพรรคร่วมหรือไม่ว่า ไทม์ไลน์การยุบสภายังเป็นไปตาม MOA ภราดรระบุว่า ไทม์ไลน์ยังเหมือนเดิม เส้นตายคือ 31 มกราคม 2569
หากฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตร 151 เสียงรัฐบาลจะพอหรือไม่ เนื่องจากเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภราดรกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีประกาศแต่วันแรกที่เข้ามาเป็นรัฐบาลว่า เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย มีเสียงเพียง 140 กว่าเสียง ดังนั้น ถ้าไม่ได้รับความเห็นชอบจากสภาฯ ก็ไม่สามารถชนะโหวตได้ รวมถึงญัตติใหญ่ หรือ ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย ดังนั้น เมื่อถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ โอกาสที่จะไปพลิกชนะเสียงไม่ไว้วางใจคงเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า การจะไม่ไว้วางใจจะต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของ สส. ถึงจะล้มรัฐบาลได้ ซึ่งต้องไปดูช่วงนั้น ว่า ถ้ามีการเปิดญัตติแล้วจะมีเสียงลงมติเกินกว่ากึ่งหนึ่งหรือไม่
ทั้งนี้ ภราดรระบุว่า ไม่ทราบว่าพรรคประชาชนมีความคิดแบบไหน เป็นสิทธิของสมาชิกแต่ละคน แต่เชื่อว่าหากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 รัฐบาลที่เพิ่งทำงานมาได้ไม่นาน ประมาณ 47 วัน ยังไม่มีเรื่องทุจริตหรือคอร์รัปชันแน่นอน
สำหรับกรณีที่ฝ่ายค้านพุ่งเป้าไปที่ประเด็นมีคนสีเทาอยู่ในรัฐบาล ภราดรกล่าวว่า เป็นสิทธิของฝ่ายค้านที่จะเห็นอย่างไรแล้วไปอภิปรายในสภา เช่นเดียวกัน ครม. ก็มีสิทธิ์ชี้แจง ท้ายที่สุดแล้วคนตัดสินคือ สส. และประชาชนที่รับฟังอยู่ทางบ้านที่จะได้ฟังทั้งฝ่ายกล่าวหาและฝ่ายชี้แจง
ภราดรยังกล่าวถึงกรณีที่มีการจับตาว่า จะมีเสียงจากฝ่ายค้านอื่นที่ไม่ใช่จากพรรคประชาชนมาสนับสนุนรัฐบาลด้วยว่า นี่ยังไม่ได้ยื่นอภิปราย ยังไม่มีแม้กระทั่งการยื่นญัตติด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งไปคิดถึงเรื่องการลงมติ รอให้มีญัตติก่อนแล้วค่อยว่ากัน
