มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตสะสมจากการติดเชื้อโควิดในสหรัฐฯ ล่าสุดเมื่อวานนี้ (4 กุมภาพันธ์) พบว่าเพิ่มขึ้นถึง 904,067 คนแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงขับเคลื่อนจากการแพร่ระบาดที่รวดเร็วของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน แม้ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตรายวันจะเริ่มลดลง
จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100,000 คน นับจากวันที่ 12 ธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับช่วงที่สถานการณ์แพร่ระบาดของโอมิครอนทวีความรุนแรง โดยมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้ติดเชื้อที่อาการหนักจนต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งแม้ข้อมูลหลักฐานจากงานวิจัยขั้นต้นต่างๆ จะบ่งชี้ว่าโอมิครอนทำให้ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่มีอาการป่วยรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าอย่างเดลตา แต่จำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่ามาก ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่เข้ารักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบให้เกิดความตึงเครียดต่อระบบบริการสุขภาพของสหรัฐฯ โดยโรงพยาบาลหลายแห่งมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
ดร.อาชิช เค จา คณบดีของคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ กล่าวว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แตะหลัก 900,000 คน ภายในระยะเวลา 2 ปีนั้นถือว่าสูงมาก ซึ่งหากย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ชาวอเมริกันส่วนใหญ่คงไม่มีใครเชื่อหากบอกว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดจะเพิ่มขึ้นถึงหลัก 900,000 คน
“ถ้าคุณบอกชาวอเมริกันส่วนใหญ่เมื่อสองปีที่แล้ว ในขณะที่โรคระบาดนี้กำลังดำเนินไปว่า ชาวอเมริกัน 900,000 คนจะเสียชีวิตในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่คงไม่เชื่อ” เขากล่าว
ขณะที่ข้อมูลผู้เสียชีวิตล่าสุดนี้แสดงให้เห็นว่าโอมิครอนอาจแพร่ระบาดในสหรัฐฯ รุนแรงมากกว่าประเทศอื่นๆ ที่มีจำนวนประชากรน้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม อัตราการเสียชีวิตจากโควิดในสหรัฐฯ ดูเหมือนจะชะลอตัวลงท่ามกลางการระบาดของโอมิครอนที่เริ่มลดลง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงใน 49 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ
ซึ่งตัวเลขผู้เสียชีวิตโดยเฉลี่ยก็ลดลงมาอยู่ที่ราว 2,400 คน เทียบกับช่วงที่การระบาดเพิ่มขึ้นสูงสุดที่มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 2,674 คน แต่ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับช่วงที่โควิดสายพันธุ์เดลตาแพร่ระบาดอย่างรุนแรงเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว ซึ่งมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยวันละประมาณ 3,300 คน
ภาพ: Photo by Go Nakamura/Getty Images
อ้างอิง: