ดร. เอกนิติ ประกาศตั้ง Data Bureau ให้ระบบทั้งหมดแล้วเสร็จภายในธันวาคม โดยเป้าหมายสูงสุดคือการ ยกมาตรฐานการกำกับดูแลทางการเงินของประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ล็อกเป้า คริปโท-ร้านแลกเงิน-ทองคำ
วันที่ 15 พฤศจิกายน ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานการประชุมคณะอนุกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลทางการเงินเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย ให้สัมภาษณ์หลังจากประชุมครั้งที่ 1/2568 ว่า เตรียมตั้ง Data Bureau เพื่อตรวจสอบและสกัดเงินเทา หรือธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัย
มุ่งตรวจสอบ 3 ช่องทางการเงินต้องสงสัย
โดยเบื้องต้นที่ประชุมได้มีการหารือถึงกรอบและแนวทางการทำงานของ Data Bureau พร้อมกำหนดช่องทางการเงินที่อาจเป็นพฤติกรรมที่ต้องสงสัยที่ต้องเร่งตรวจสอบ ซึ่งครอบคลุม 3 ช่องทางหลัก ได้แก่
- สินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโทเคอเรนซี โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่อยู่นอกประเทศไทย
- Money Changer ซึ่งเป็นส่วนที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กำกับดูแล
- ตลาดทองคำ โดยรวมถึงทองคำที่เป็นกายภาพ (Physical) และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Derivative) ที่เป็นกระดาษ ซึ่งปัจจุบันตลาดทองคำยังไม่มีหน่วยงานใดกำกับดูแลโดยตรง
“จะเห็นได้ว่าช่องทางการเงินทั้ง 3 ช่องทาง มีผู้กำกับดูแลที่แตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาที่แต่ละหน่วยงานมีข้อมูลกระจัดกระจายและต่างคนต่างทำ คณะอนุกรรมการจึงมีมติให้ดำเนินการทำ Data Bureau” ดร. เอกนิติกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบัน มีนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจการซื้อและขายธนบัตรต่างประเทศ เฉพาะเงินสดที่เป็นเงินตราต่างประเทศ ที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (Authorized Money Changer) เช่น SuperRich Thailand (ซุปเปอร์ริช สีเขียว), SuperRich 1965 (ซุปเปอร์ริช สีส้ม), Twelve
Data Bureau นี้เน้น 3 หัวใจหลัก
ดร. เอกนิติกล่าวต่อว่า โดยเบื้องต้นเน้นที่การทำงานร่วมกันของ ธปท., ก.ล.ต. และ สมาคมธนาคารไทย โดยการดำเนินการใน Data Bureau จะเน้นตรวจสอบใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่
- การพิสูจน์ตัวตน (Know Your Customer – KYC) โดยตรวจสอบว่าบุคคลหรือนิติบุคคลนั้นเป็นตัวจริงหรือเป็นนอมินีหรือไม่ เนื่องจากบางตลาด เช่น ตลาดทองคำ อาจยังไม่มีการตรวจสอบและยืนยันตัวตนที่เข้มข้นเท่ากันในภาคการเงิน เช่น การเปิดบัญชีธนาคาร
- พฤติกรรม (Behavior) โดยตรวจสอบพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น แจ้งว่าเป็นนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจ แต่มีเงินไหลเข้าออกที่ผิดปกติหรือ
- ธุรกรรม (Transaction) โดยตรวจสอบการไหลเข้าและไหลออกของเงินผ่านช่องทางต่างๆ ที่ต้องผ่านธปท.
ดร. เอกนิติ กล่าวต่อว่า คณะอนุกรรมการจะใช้เคสจริงจากข้อมูลกระทรวงยุติธรรมมาเป็นตัวอย่างในการทดสอบระบบและเส้นทางการเงิน เพื่อดูว่าข้อมูลอยู่กับหน่วยงานใด พฤติกรรมน่าสงสัยหรือไม่ และเงินไหลเข้าออกอย่างไร เนื่องจาก คณะอนุกรรมการชุดนี้ไม่มีอำนาจตรวจสอบเป็นรายกรณี แต่มีภารกิจหลักในการแก้ปัญหาระบบโดยรวม โดยจะนำผลการทดสอบมาตรวจสอบว่ากฎหมายปัจจุบันที่กระจัดกระจายอยู่สามารถจัดการพฤติกรรมต้องสงสัยทั้งหมดหรือไม่
ขณะที่ปัจจุบันกระทรวงยุติธรรมอยู่ระหว่างเร่งดำเนินการจัดทำกฎหมายใหม่เพื่อปิดช่องโหว่และจะนำข้อมูลจากคณะอนุกรรมการชุดนี้ไปเติมเต็มเพื่อให้กฎหมายฉบับใหม่ครอบคลุม
ดร. เอกนิติ เปิดเผยว่า เป้าหมายสูงสุดของการทำงานในครั้งนี้ คือ การยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลทางการเงินของประเทศไทยให้ได้มาตรฐานสากล โดยเฉพาะตามกรอบของ FATF (Financial Action Task Force) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทั่วโลกใช้
โดยที่ประชุมตั้งเป้าหมายว่าภายในพฤศจิกายน 2568 จะได้รูปแบบของ Data Bureau และ ภายในเดือนธันวาคม 2568 ระบบทั้งหมดจะต้องแล้วเสร็จ
“ไทยต้องมีระบบที่สามารถกำกับดูแลและป้องกันธุรกรรมทางการเงินที่ต้องสงสัยได้ตามมาตรฐานสากลหรือดีกว่ามาตรฐานสากล” ดร. เอกนิติ กล่าว พร้อมทั้งระบุต่อว่า กฎหมาย PDPA มีข้อยกเว้นทางกฎหมายใช้ในการดำเนินการเรื่องนี้เนื่องจากมีการกำหนดว่าอนุญาตให้ดำเนินการได้หากใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ


