9 ปีที่แล้วก่อนที่ ‘Die Mannschaft’ จะผงาดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 4 มาครอง หนึ่งในคู่แข่งที่ถูกทำลายจนพินาศย่อยยับคือบราซิล ชาติเจ้าภาพผู้หวังจะลบล้างอาถรรพ์ ‘มาราคานาโซ’ และพิชิตแชมป์โลกบนแผ่นดินตัวเองให้ได้
ในเกมรอบรองชนะเลิศครั้งนั้นมีขึ้นที่สนามมิเนเรา ในเมืองเบโลโฮริซอนเต เยอรมนี ภายใต้การนำของ โยอาคิม เลิฟ ไล่ถลุงนักเตะกานารินญาไปอย่างหมดทางสู้ถึง 7-1 ชนิดที่หากไม่สงสารก็เชื่อว่าน่าจะสามารถยิงได้มากกว่านี้อีก
วันนั้นเป็นวันที่ชาวบราซิลทั้งชาติทั้งเจ็บ ทั้งแค้น ทั้งอาย และจดจำวันนั้นว่า ‘มิไนราโซ’ (Mineiraço) หรือวันอัปยศที่มิไนเรา
ไม่มีใครคิดว่าชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทางเกมลูกหนังอย่างบราซิลจะต้องประสบโชคชะตาที่โหดร้ายถึงเพียงนั้น
แต่ก็ไม่มีใครคิดเหมือนกันว่าเยอรมนีที่ดูพร้อมไปเสียทุกอย่างก็จะต้องพบกับความอับอายในแบบเดียวกัน เมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ต่อชาติจากเอเชียที่ไม่เคยอยู่ในสายตามาก่อนอย่างญี่ปุ่นคาบ้านถึง 4-1
สำหรับญี่ปุ่น ชาติที่เคยเอาชนะแข้งเยอรมันได้แค่ในการ์ตูน ตอนนี้พวกเขาเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริงได้แล้ว
สำหรับเยอรมนี ชาติที่ทะนงตนในสายเลือดลูกหนังของตัวเอง นี่คือ ‘Es ist ein Desaster’ หายนะที่ไม่อาจให้อภัยได้
มันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจเรียกได้ว่าเป็น Das Reboot อีกครั้งของวงการฟุตบอลเยอรมัน
ย้อนกลับไปในวันศุกร์ที่แล้วในประเทศเยอรมนีมีการนำสารคดี ‘All or Nothing: The German National Team in Qatar’ ซึ่งว่าด้วยเรื่องหายนะและความล้มเหลวของทีมชาติเยอรมนีในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์ออกมาฉาย
หากยังจำกันได้ ทีมชาติเยอรมนีกระเด็นตกรอบแรกไปแบบไม่มีใครอยาก ซึ่งจุดเริ่มต้นของหายนะเกิดขึ้นในเกมแรกที่พวกเขาพบกับทีม ‘ซามูไรบลู’ ญี่ปุ่นไป ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายที่ได้ประตูออกนำไปก่อน และดูพร้อมจะทะลวงประตูเพิ่มได้ไม่ยาก
หนึ่งในช็อตที่เยอรมนีถูกมองว่าพยายามข่มคือลูกที่ อันโตนิโอ รูดิเกอร์ ทำท่าสับขาวิ่งตามมาประกบ ทาคุมะ อาซาโนะ กองหน้าทีมชาติญี่ปุ่น แต่สุดท้ายดาวเตะเลือดซามูไรที่ถูกหยามหยันนี่เองที่เป็นฮีโร่ทำประตูชัยให้ญี่ปุ่นพลิกแซงเอาชนะได้อย่างสุดเหลือเชื่อ
แต่ในผลงานที่น่าประหลาดใจนั้น สิ่งที่เราได้เห็นในสารคดี All or Nothing เวอร์ชันเยอรมันตะวันดับ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างยิ่งในทีมชุดของ ฮันซี ฟลิก
ก่อนหน้านี้ฟลิกคือโค้ชผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็น ‘คนในเงา’ ที่เก่งที่สุด ก่อนจะแจ้งเกิดเต็มตัวในการพาทีมบาเยิร์น มิวนิก คว้าแชมป์มากมาย และได้รับตำแหน่งบุนเดสเทรนเนอร์ หรือโค้ชทีมชาติเยอรมนีในปี 2021 ต่อจากโยอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์คนเก่าที่คุมมายาวนานกว่า 15 ปี
แต่สิ่งที่ปรากฏในสารคดีคือทีมอินทรีเหล็กที่หย่อนยาน นักฟุตบอลมาประชุมทีมสาย การใช้คำพูดเปรียบเทียบนักฟุตบอลเป็นแพะและวัวของฟลิก และบรรยากาศภายในแคมป์ที่ไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันจากปัญหาอีกมากมายภายในทีม
สารคดีที่นำมาออกฉายในวันศุกร์ ก่อนหน้าที่เยอรมนีจะลงสนามพบกับญี่ปุ่น จึงถูกตั้งคำถามอย่างมากว่า “มันใช่เวลา” ใช่ไหมที่จะนำมาฉายตอนนี้ เพราะมันไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศหรือสถานการณ์ใดๆ ของทีมดูดีขึ้นเลย
นับจากที่ฟลิกเข้ามารับตำแหน่ง ผลงานของเยอรมนีตกต่ำอย่างน่าตกใจ 24 นัดที่คุมทีมลงสนาม ทีมแชมป์ฟุตบอลโลก 4 สมัยเก็บชัยชนะได้แค่ 12 นัด และใน 16 เกมหลังสุดชนะแค่ 4 นัด และทุกอย่างก็มาถึงจุดต่ำที่สุดเมื่อพวกเขาพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นซ้ำอีกครั้ง
โดยคราวนี้ไม่ได้เป็นการแพ้แบบพลิกล็อก เพราะมันเป็นการแพ้ขาดลอย 4-1 ต่อหน้าแฟนฟุตบอลในโฟล์กสวาเกนอารีนา ในเมืองโวล์ฟสบวร์ก
โลธาร์ มัทเธอุส ตำนานซูเปอร์แมน ผู้เคยนำทีมชาติเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี ตั้งคำถามกับเรื่องของสารคดีว่า “ในวันศุกร์ หนึ่งวันก่อนที่เราจะมีเกมสำคัญ กลับมีการปล่อยสารคดีนี้ออกมา นี่เอาจริงหรือ ไม่มีวันที่ดีกว่านี้แล้วใช่ไหม?”
ก่อนที่มัทเธอุสจะแขวะไปยังสมาคมฟุตบอลเยอรมันหรือ ‘เดเอฟเบ’ ว่า “ก็นี่แหละคือการทำงานแบบเดเอฟเบ”
ขณะที่ Kicker สื่อลูกหนังเยอรมัน เปรียบเทียบความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ว่าเป็นดั่ง “การพังทลาย” ในความหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทีมชาติเยอรมนีสั่งสมมา มันกลายเป็นอดีตไปแล้ว
สถานการณ์นำไปสู่กระแสความกดดันมหาศาลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และนำไปสู่การตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
ฮันซี ฟลิก กลายเป็นโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ของทีมอินทรีเหล็กที่ถูกปลดจากตำแหน่งกลางทาง เพราะปกติแล้วเยอรมนีเป็นชาติที่ให้เกียรติคนทำงานและหนุนหลังเสมอ พร้อมจะอดทนรอจนกว่าจะพบว่าถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะแยกทางจากกัน
โดยที่ รูดี โฟลเลอร์ อดีตศูนย์หน้าดาวดังยุค 80 ที่เคยคุมทีมชาติเป็นการชั่วคราว จะกลับมาช่วยประคับประคองทีมไปพลางๆ ก่อนในเกมอุ่นเครื่องที่จะพบกับทีมชาติฝรั่งเศสในวันอังคารนี้ ร่วมกับ ฮันเนส โวล์ฟส และ ซานโดร วากเนอร์
หลังจากนั้นเดเอฟเบจะพยายามหาบุนเดสเทรนเนอร์คนใหม่ให้เร็วที่สุด เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะโค้ชที่มีชื่อชั้นดีพออย่าง เจอร์เกน คล็อปป์ หรือ โธมัส ทูเคิล ก็ติดภารกิจกับสโมสร
โดยเฉพาะคล็อปป์ที่มีข่าวว่าอาจได้รับการเสนองานให้คุมทีมควบระหว่างลิเวอร์พูลและเยอรมนี การตัดสินใจนี้ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่ายสำหรับทั้งสองฝั่ง และมีความเป็นไปได้ที่มันอาจออกมาแย่สำหรับทั้งสองทาง
แต่คำถามสำคัญคือแค่การเปลี่ยนแปลงโค้ชนั้นเพียงพอหรือไม่?
เพราะดูเหมือนเยอรมนีจะกลับมาประสบปัญหาวิกฤตในลักษณะเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นเมื่อช่วงยุค 90 ภายใต้การนำของ แบร์ตี โฟกต์ส
โฟกต์ส ซึ่งเป็นโค้ชระดับครูคนหนึ่งของวงการฟุตบอลเยอรมัน เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก ‘แดร์ ไกเซอร์’ ฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ ที่อำลาทีมหลังรับบท ‘ทีมเชฟ’ นำเยอรมนีตะวันตกคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1990 ได้
เมื่อรับตำแหน่งมา โฟกต์สอาจทำผลงานได้น่าผิดหวัง เมื่อเยอรมนีพ่ายเดนมาร์กในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลยูโร 1992, ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 1994 ด้วยน้ำมือทีมนอกสายตาอย่างบัลแกเรีย
แต่อย่างน้อยเขาก็แก้ตัวได้ในฟุตบอลยูโร 1996 ด้วยการพาทีมพิชิตแชมป์ยุโรปได้ที่ประเทศอังกฤษ ด้วยการเอาชนะสาธารณรัฐเช็กได้ด้วยประตู ‘โกลเดนโกล’ ของ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟฟ์
ในความสำเร็จครั้งนั้น โฟกต์สเริ่มมองเห็นปัญหาของวงการฟุตบอลเยอรมันที่ไม่สามารถผลิตนักฟุตบอลรุ่นใหม่ที่มีฝีเท้าดี คุณภาพสูงได้เหมือนเดิม และมันอาจทำให้พวกเขาสู้กับชาติมหาอำนาจอื่นที่มีการวางระบบรากฐานดีกว่าไม่ได้
โดยไม่ได้กังวลต่อตำแหน่งตัวเอง บุนเดสเทรนเนอร์เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญที่เสนอให้มีการออกแบบระบบโครงสร้างพื้นฐานของวงการฟุตบอลเยอรมันใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะในระดับเยาวชน ให้มีอะคาเดมีกับสโมสรที่พร้อมจะรองรับนักฟุตบอลที่จะเกิดขึ้นใหม่เหล่านี้
ระบบนี้นำไปสู่ความยิ่งใหญ่ของลูกหนังเยอรมันในเวลาต่อมา ถึงขั้นได้แชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2014
ราฟาเอล โฮนิกสไตน์ นักเขียนชาวเยอรมันชื่อดัง นำเรื่องราวมาถ่ายทอดในหนังสือ ‘Das Reboot: How Germany Conquered the World’ ซึ่งเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมันที่ดีที่สุดเล่มหนึ่ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่สร้างกันมาในวันนั้นดูเหมือนวัฏจักรจะเดินทางมาถึงจุดตกต่ำอีกครั้งแล้ว
เยอรมนีไม่ได้มีแค่ปัญหาในการคุมทีมชาติของฟลิก แต่พวกเขามีปัญหาในเชิงโครงสร้างของระบบฟุตบอลเยาวชนที่ไม่สามารถผลิตนักเตะฝีเท้าดีออกมาได้เหมือนเดิม
การที่ฟลิกยังต้องเลือกใช้นักเตะอย่าง นิคลาส ฟูลล์ครูก เพราะเป็น ‘หมายเลข 9 แท้’ คนเดียวในทีม เพราะไม่อาจหวังพึ่งพา ไค ฮาเวิร์ตซ์ ที่ผลงานมีแต่สาละวันเตี้ยลง และการยังต้องหวังพึ่งนักเตะที่ใกล้ปลดระวางอย่าง โธมัส มุลเลอร์ เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในเกมกับญี่ปุ่น เป็นกระจกสะท้อนภาพของปัญหาที่ชัดเจน
เยอรมนีต้องการการเปลี่ยนแปลงที่มากกว่าแค่ตำแหน่งบุนเดสเทรนเนอร์
และมันไม่อาจจบแค่การวางแผนระยะยาวด้วยการสร้างแผนพัฒนานักฟุตบอลดาวรุ่งขึ้นมาใหม่
มันอาจต้องแก้ไขกันตั้งแต่ปัญหาการเมืองภายในองค์กรอย่างเดเอฟเบ ซึ่งมีส่วนรับผิดชอบในการกำหนดนโยบาย แนวทาง และการตัดสินใจที่สำคัญทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการเก็บโค้ชคนเก่าอย่างเลิฟเอาไว้ยาวนานหลายปีจนสายเกินไป
แน่นอนว่าเราคาดหวังได้ว่าพวกเขาจะกลับมาครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง เพราะมันเป็นสิ่งที่ชาวเยอรมันทำให้เราได้เห็นมาแล้วทุกยุคทุกสมัย
แต่ Das Reboot ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่าย มันต้องใช้เวลา
และมันอาจทำให้การเป็นเจ้าภาพยูโร 2024 ของพวกเขากร่อยยิ่งกว่าครั้งเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 เมื่อ 17 ปีที่แล้ว
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/4849368/2023/09/10/hansi-flick-sacked-germany/?source=user_shared_article
- https://theathletic.com/4847855/2023/09/09/hansi-flick-pressure-germany-manager-japan/?source=user_shared_article
- https://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-12491385/Germany-World-Cup-Hansi-Flick-Brazil.html
- https://www.espn.com/soccer/story/_/id/37501299/five-questions-dfb-shock-world-cup-failure
- http://bundesliga-diaries.com/das-reboot-how-germany-conquered-the-world-and-whether-they-can-again/
- https://thesetpieces.com/reviews/das-reboot/
- https://www.theguardian.com/football/2023/sep/10/germany-sack-head-coach-hansi-flick-after-japan-thrashing