วันนี้ (30 กรกฎาคม) ลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า เมื่อประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะหดตัวที่ 8.5% ต่อปี เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ยังขยายตัว 2.4% ต่อปี โดยมีกรอบคาดการณ์ที่ติดลบ 8-9%
ทั้งนี้สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยปี 2563 จะติดลบมาจาก
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักหดตัวลง โดยมีประมาณการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจไทยปี 2563 ดังนี้
- มูลค่าการส่งออกสินค้าจะหดตัวที่ 11% (โดยมีช่วงคาดการณ์ติดลบที่ 10.5-11.5%)
- จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทยจะหดตัวที่ 82.9%
- การบริโภคภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัว 2.6% (โดยมีช่วงคาดการณ์ติดลบ 2.1-3.1%)
- และการลงทุนภาคเอกชนคาดว่าจะหดตัวที่ 12.6% (โดยมีช่วงคาดการณ์ติดลบที่ 12.1-13.1%)
- การบริโภคภาครัฐจะขยายตัวที่ 4.3% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.8-4.8%)
- การลงทุนภาครัฐจะขยายตัวที่ 9.7% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 9.2-10.2%)
อย่างไรก็ตาม มองว่าการใช้จ่ายของภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ การโอนงบประมาณตามพระราชบัญญัติโอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2563 และพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 โดยมีกรอบวงเงินกู้ไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท
กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังภาคธุรกิจเริ่มกลับมาดำเนินกิจการ ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น ประกอบกับผลของมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา 2019 ของรัฐบาล ระยะที่ 1-3 และมาตรการ ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ จะช่วยสนับสนุนการบริโภคภาคเอกชน รักษาระดับการจ้างงาน และสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนให้เกิดการหมุนเวียนกิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศต่อไป
“เราคาดว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 และจะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจที่ติดลบน้อยลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2563” ลวรณกล่าว
ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจไทยภายในประเทศ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2563 จะอยู่ที่ -1.3% (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ -1.8 ถึง -0.8%) ปรับตัวลดลงจากปีก่อน ตามแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจภายนอกประเทศ คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุล 13.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 2.7% ของ GDP (โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 2.2-3.2% ของ GDP)
นอกจากนี้ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดในระยะต่อไป ได้แก่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโควิด-19 และการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ
ขณะเดียวกันคาดว่าหากการแพร่ระบาดโควิด-19 คลี่คลายลง คาดว่าธุรกิจที่จะฟื้นตัวได้เร็ว ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภค อาหารและเครื่องดื่ม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนสู่วิถีชีวิตใหม่ (New Normal) จะช่วยสนับสนุนธุรกิจบริการดิจิทัลและธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Commerce) ให้ขยายตัวได้ดี
ทั้งนี้กระทรวงการคลังประเมินว่า เศรษฐกิจไทยจะสามารถกลับมาขยายตัวได้ที่ 4-5% ในปี 2564 และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมเพิ่มเติม เพื่อดูแลเศรษฐกิจไทยอย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า