ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จัดสัมมนา Investment Outlook 2025 : Navigating Thailand’s Economy and Financial Market in the Trump Era สำหรับสมาชิก CIMB Preferred เพื่ออัปเดตมุมมอง กลยุทธ์ และทิศทางการลงทุนปี 2025
ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย บรรยายหัวข้อ Global Economic Update Y2025 มองว่านโยบายการค้าของ โดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังเติบโตที่ 2% และจีนขยายตัวต่ำกว่า 5% แต่สหรัฐฯ มีแนวโน้มขาดดุลการค้ามากขึ้น แม้จะขาดดุลกับจีนลดลงจาก 40% เหลือ 20% แต่กลับขาดดุลเพิ่มขึ้นกับประเทศอื่น รวมถึงไทย เนื่องจากประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 11 สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวและเงินเฟ้ออยู่ที่ 3% ส่งผลให้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเผชิญแรงกดดัน
ด้านเศรษฐกิจไทย แม้ไตรมาส 1/25 จะเติบโต 3% แต่คาดว่าครึ่งปีหลังจะชะลอลงเหลือ 2% โดยผลกระทบจากนโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจเห็นชัดขึ้นในไตรมาสถัดไป และมีแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยไทยจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แม้การส่งออกช่วงต้นปี 2025 จะเร่งตัวขึ้นก่อนที่ความตึงเครียดทางการค้าจะรุนแรงขึ้น แต่ในระยะถัดไปอาจเผชิญความเสี่ยงจากสงครามค่าเงิน
ทั้งนี้ ทรัมป์มีแนวโน้มใช้นโยบายที่ชะลอโลกาภิวัตน์ (Pause Globalization) ส่งเสริมการนำอุตสาหกรรมกลับประเทศ (Reverse Reshoring) ใช้นโยบายการคลังแบบเป็นกลาง (Neutral Fiscal Spending) ซึ่งอาจทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และผลักดันให้ค่าเงินอ่อนค่าลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการค้า (Drive for Devaluation)
แนะกระจายความเสี่ยงการลงทุนรับมือความผันผวน
ด้าน Patrick Chang ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนภูมิภาค (Regional CIO) กลุ่มซีไอเอ็มบี กล่าวหัวข้อ Investment Opportunity & Market Outlook ว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนเปลี่ยนแปลงมาก โดยเฉพาะหลังการขึ้นดำรงตำแหน่งของทรัมป์ เกิดปรากฏการณ์ ‘Trump 2.0’ สร้างความผันผวนและความไม่แน่นอนในตลาดการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จีน และยุโรป
ดังนั้นปัจจัยสำคัญสำหรับนักลงทุนปี 2025 คือความสามารถในการปรับตัวและความคล่องตัว โดยเฉพาะการจัดพอร์ตลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงในตลาดพัฒนาแล้ว รวมถึงการลงทุนตลาดตราสารหนี้และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การใช้ Covered Call Options ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน
สำหรับตลาดหุ้นสหรัฐฯ มองว่ายังไม่ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมี เป็นเพียงช่วงปรับฐานจากปัจจัยเรื่องภาษีศุลกากร อนาคตอาจลดภาษีและผ่อนคลายกฎระเบียบสนับสนุนการฟื้นตัวของตลาด นอกจากนี้ การลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีโดยเฉพาะ AI มีโอกาสเติบโตและเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดสหรัฐฯ ด้านตลาดจีนมีการฟื้นตัวอย่างน่าสนใจหลังรัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ขณะที่ตลาดยุโรปและอาเซียนเป็นโอกาส แม้เผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจ เช่น กลุ่ม REITs ในตลาดสิงคโปร์มีผลตอบแทนน่าสนใจ โดยรวมแล้ว แนะนำนักลงทุนคงความหลากหลายและกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน รับมือความผันผวนและโอกาสที่เกิดขึ้นในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ
Eastspring คาดนโยบายการค้า ‘ทรัมป์’ เป็นการขู่คู่ค้า
ขณะที่ ยิ่งยง เจียรวุฑฒิ CFA รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) (Eastspring) กล่าวหัวข้อ Finding Opportunities Amid Market Uncertainty โดยวิเคราะห์หลายแง่มุมของทรัมป์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำธุรกิจ ตั้งแต่ลักษณะนิสัยวัยเยาว์จนถึงยุคที่เขากลายเป็นบุคคลสาธารณะมีชื่อเสียงระดับโลก โดยเมื่อ 40 ปีก่อน ทรัมป์เขียนหนังสือ The Art of the Deal เผยแพร่ศิลปะการต่อรองธุรกิจรับเหมาและโครงการสร้างคาสิโนที่แอตแลนติกซิตี้ แม้โครงการจะประสบปัญหาการเงินและการหาผู้ร่วมทุน แต่เขาสามารถดึง Holiday Inn มาร่วมทุนได้ด้วยการสร้างภาพลักษณ์ให้ไซต์ก่อสร้างดูคึกคักสร้างความประทับใจแก่นักลงทุน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นนักเจรจาที่เฉียบแหลมและความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากสาธารณชน และช่วง 10 ปีที่แล้ว รายการเรียลลิตี้โชว์ The Apprentice ของทรัมป์ได้รับความนิยม เรตติ้งสูง และได้รับรางวัลเอมมี่จนทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในวงการสื่อ
เมื่อพิจารณาการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ในปัจจุบัน จึงคาดว่าจะเป็นการ ‘ขู่’ คู่ค้า ด้วยการเรียกเก็บภาษีนำเข้าและตอบโต้แบบ ‘ถ้าคุณทำ ผมก็จะทำ’ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนในตลาดโลก นโยบาย Inflationary เช่น การลดภาษี การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐและการควบคุมคนเข้าเมืองอาจสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจและนำไปสู่เงินเฟ้อในอนาคต แม้จะมีความผันผวน แต่ช่วงที่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ยังคงเติบโตต่อเนื่อง
โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนแบ่งแนวทางการลงทุนระยะ 3-6 เดือนข้างหน้าเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ หุ้นเอเชีย หุ้นเติบโต ตราสารหนี้สหรัฐฯ และหุ้นกลุ่ม Defensive เช่น กลุ่มสุขภาพ ทรัมป์ไม่เพียงแต่แสดงความเป็นนักเจรจาที่ชาญฉลาด แต่ยังเป็นนักสร้างภาพลักษณ์ที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและนโยบายการค้าระดับโลก สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างโอกาสในตลาดที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งยงกล่าวเพิ่มเติมว่า สงครามการค้าของทรัมป์คือ Very Loud Noise เป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับสังคมอเมริกา ที่พาเราเข้าสู่การ Protectionism, Standalone and Unwind Globalization แต่มองว่าสหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพาภาคการผลิตของจีนอยู่และในช่วง 5 ปีต่อจากนี้สหรัฐก็จะยังคงเป็นประเทศผู้นำของโลก ด้าน EM มีมูลค่าหุ้นที่ถูกและมีความน่าสนใจ
แนะลดสัดส่วนหุ้นกลุ่ม Tech ขนาดใหญ่
ส่วน เชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) บรรยายหัวข้อ How to Invest in Market Volatility in Trump Era ว่าการกลับมาของทรัมป์อาจทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากขึ้น นักลงทุนควรเตรียมกลยุทธ์รับมือ ยกตัวอย่าง Buy on Dip โดยอาศัยปัจจัยพื้นฐานที่ยังแข็งแกร่ง เช่น GDP เติบโต 2% ตัวเลขการจ้างงานออกมาดี และการบริโภคขยายตัว สะท้อนความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ แม้เผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและการเงิน
ด้าน ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล, FRM ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ (SCBAM) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ แต่ปีนี้คาดว่าจะเห็นการกระจายการลงทุนมากขึ้น นักลงทุนอาจลดสัดส่วนในหุ้นกลุ่ม Magnificent 7 และหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ไปสู่หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่ได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาลง รวมถึงนโยบายการปรับลดภาษีที่อาจจะเกิดขึ้น