ภาพของ ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต บนพรมแดงเทศกาลหนังเมืองคานส์ปีนี้แตกต่างจากหลายปีที่ผ่านมา ก่อนหน้าที่เธอจะเดินทางไปไม่นาน คนไทยเพิ่งทราบข่าวว่าเธอตั้งครรภ์ลูกชายฝาแฝด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังตัดสินใจว่าอย่างไรก็ต้องไปเดินอยู่บนพรมแดงผืนใหญ่ ท่ามกลางแสงไฟและเสียงแฟลชจากนักข่าวทั่วทุกมุมโลก
ตามประสาพี่ไทย-น้องไทยที่ติดตามอารยามานาน พอเห็นอย่างนี้ก็เกิดเป็นคำถามแกมห่วงใยขึ้นมากมายว่า ‘ตั้งท้อง’ แล้วจะพาน้องไปทำงานทำไม หยุดพักความสวยสักปีไม่ดีกว่าเหรอ ตัวเธอเองล่ะ มองเรื่องการทำงานและใช้ชีวิตระหว่างตั้งท้องอย่างไร
THE STANDARD เชื่อว่าบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะมีคำตอบให้กับหลายคำถาม มากไปกว่านั้นมันยังเป็น ‘แมสเสจ’ ที่ตรงไปตรงมาและสร้างสรรค์จนคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่กำลังเป็น.. หรือเตรียมตัวจะเป็น ‘เมีย’ และ ‘แม่’ ในอนาคต
ครั้งหนึ่งก่อนที่อารยาจะตั้งครรภ์ลูกชายฝาแฝด เธอเคยบอกไว้ว่าอยากเปลี่ยนบริบทของชีวิตไปสู่ความเป็น ‘แม่’ และมองว่านั่นเป็นความท้าทายสำคัญที่กำลังรอคอย ถึงตอนนี้ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เธอกำลังจะได้ก้าวไปสู่บริบทนั้นอย่างเต็มตัว ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่ามันคงจะเป็นบริบทที่ท้าทายเธอไปตลอดชีวิต
ความท้าทายของคนเป็นเมียและเป็นแม่คือคุณจะบาลานซ์ชีวิตอย่างไรให้ตัวเองยัง age beautifully และ gracefully คุณมีภารกิจใหม่ที่โคตรยิ่งใหญ่เลย แต่ในเวลาเดียวกัน คุณก็ยังสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ ทั้งดูแลตัวเอง และดูแลคนในครอบครัว
อายุครรภ์ของคุณครบ 6 เดือนพอดี (10 มิถุนายน) ตอนนี้เตรียมตัวอะไรไว้บ้าง สำหรับชีวิตทั้งหมดที่อาจจะค่อยๆ เปลี่ยนไปหลังจากนี้
บางอย่างมันก็เป็นไปตามแผน แต่บางอย่างพอถึงจุดนี้จริงๆ ชมกลับพบว่าตัวเองไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เคยคิดว่าจะเป็น คือมีบางพาร์ตที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นพวก control freak เหมือนกัน คือเราคอนโทรลชีวิตตัวเอง แต่จะไม่คอนโทรลคนอื่น พอถึงพาร์ตที่จะปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่างตอนแรกเคยคิดว่าคงอยากให้ลูกเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ถึงตอนนี้ขนาดลูกยังไม่คลอด เรากลับรู้สึกว่าไม่ได้คาดหวัง เรามองอนาคตนะ แต่รู้สึกว่ากว่าเขาจะโตเป็นผู้ใหญ่ก็ยังต้องเจอปัจจัยอะไรอีกหลากหลายที่จะหล่อหลอมให้เขาเป็น ‘เขา’ ในอนาคต ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว ตอนนี้เลยรู้สึกว่ายังไงก็ได้ แต่จะมอบสิ่งดีที่สุดเท่าที่เราจะมีปัญญาทำให้ได้
ซึ่งก็เป็นเรื่องการทำตัวให้มีสุขภาพจิตดี ร่างกายแข็งแรง กินแต่อาหารที่ดี ความจริงชมสนใจเรื่องกินในสิ่งที่ดีอยู่แล้ว แต่พอเปลี่ยนโหมดก็ยิ่งออร์แกนิกหนักกว่าเดิม นี่คือพาร์ตที่เราทำให้ได้ไง แต่ถ้าลูกโตไปโรงเรียนแล้วจะไปซื้อขนมถุงกินก็ต้องปล่อยมัน (หัวเราะ)
ถ้าคิดขนาดว่าโตขึ้นลูกจะไปกินขนมถุงหรือเปล่า แสดงว่าก็เป็นแม่ที่แอบมองการณ์ไกลเหมือนกันนะ
(หัวเราะ) ไม่หรอก อย่างตอนที่เราเป็นเด็ก อยากกินอะไร เราก็ไม่ได้คิดขนาดนั้น แต่พอโตขึ้น ชมเติบโตมาโดยผ่านประสบการณ์ที่คนใกล้ตัวเป็นโรคโน้นโรคนี้ตาย เราก็เริ่มตั้งคำถามว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร คำตอบที่ได้คือเกิดมาจากสิ่งที่เรากิน สิ่งที่เราหายใจ หรือแม้แต่ภาชนะที่เราใช้ใส่อาหาร อย่างพลาสติก กล่องโฟม หรือวัสดุบางชนิดที่อาจจะปนเปื้อนสารตะกั่ว ฯลฯ โลกที่เราอยู่เองก็สกปรกขึ้นทุกวัน หน้าที่คือพยายามดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในพาร์ตของเรา
อีกอย่าง ชมคิดว่าโลกที่ตัวเองโตมามันน่ากลัวกว่าโลกสมัยที่แม่เราเติบโตมา แต่เราเองก็ยังโตขึ้นมาได้ นั่นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์ที่รู้จักปรับตัว ฉะนั้นอยู่ยุคไหนก็ต้องทัน ต้องไม่อยู่กับอดีต แล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมกับเขา
เห็นบอกว่าไม่ตื่นเต้น แต่ดูเตรียมการและวางแผนเรื่องอนาคตต่างๆ ไว้เยอะเหมือนกัน
ก็ตื่นเต้น ไม่ได้ถึงขนาดเตรียมการ แต่โอเค ตอนนี้จองโรงเรียนแล้ว (หัวเราะ)
นี่พูดจริงหรือพูดเล่น
จองแล้ว ความจริงคุยๆ เรื่องโรงเรียนไว้ตั้งแต่ปีก่อน เขียนเอาไว้เลยว่าถ้าท้องอีกรอบ ไทม์ไลน์น่าจะประมาณนี้ บวกลบไม่เกิน 2-3 เดือน
จริงๆ แล้วช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ละครที่ชมเล่นเริ่มเหลือคิวถ่ายน้อยแล้ว (The Cupids บริษัทรักอุตลุด) ระหว่างรอเข้าฉาก ชมนั่งอยู่กับนักแสดงร่วมอย่างพี่เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์, พี่มิค-บรมวุฒิ หิรัณยัษฐิติ ซึ่งคุณพ่อสองคนนี้เขาจะชอบคุยเรื่องลูกกัน จังหวะหนึ่งชมก็เอ่ยถามว่า เอายังไงดีวะ ละครยังเหลือที่ต้องถ่ายอีกประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์
ตอนแรกตั้งใจว่าจะรอให้ละครถ่ายจบก่อน แต่ทั้งสองคนบอกชมว่าให้ลุยเลย ไม่ต้องรอหรอก… ถ้างั้นก็ลองดู เพียงแต่ไม่คิดว่าลองแล้วจะติดเลย ปรากฏว่าพอถึงเดือนมกราคมน้องก็มา ซึ่งยังเหลือละครที่ต้องถ่ายอยู่อีกนิดหน่อย แต่เราคิดว่า 2-3 เดือนแรกก็ทำงานไปสิ เพราะการท้องยังไม่เป็นอุปสรรค ปรากฏว่าแพ้ท้องฉิบหาย (หัวเราะ) ประกอบกับท้องลูกแฝดด้วย ทางการแพทย์เรียกว่าฮอร์โมน HCG (Human Chorionic Gonadotropin) ซึ่งจะมีในคนท้องสูงมาก ช่วงนั้นต้องเรียกว่าทำอะไรไม่ได้ กินอะไรไม่ได้เลย เหมือนหมดอาลัยตายอยาก เวลานอนก็หลับไม่สนิท ทำงานแทบไม่ได้เลย
ชมเข้าใจเลยว่าทำไมคนท้องถึงมีอารมณ์ซึมเศร้า เพราะพอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง บางคนก็อดเครียดไม่ได้ แต่เราคิดว่ามันก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้
ประสบการณ์ที่รู้ว่าท้องชัวร์แล้ว ต่างกับความรู้สึกตอนรู้ว่ามีน้องครั้งแรกอย่างไรบ้าง
ความรู้สึกมันไม่เหมือนครั้งที่แล้วนะคะ ตอนนั้นเราจะตื่นเต้น แต่เพราะคราวนี้เราตั้งใจ เราเตรียมตัว เหมือนรู้ว่าเดี๋ยวเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น สำหรับชมเลยเหมือนแบเบอร์ (หัวเราะ) แต่มันก็มีความลุ้นแหละ เพราะเรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับอะไรหลายอย่าง อาจเป็นเพราะว่าคู่ของเราปรึกษาหมอตลอด แล้วเราดูแลตัวเองดี อย่างคุณสามี (น็อต-วิศรุต รังษีสิงห์พิพัฒน์) เขาก็หยุดสังสรรค์ หันมาออกกำลังกาย หาสารอาหารที่ดีกับร่างกายมากินเพิ่ม เมื่อเราตั้งใจจะมีลูกกันทั้งสองคน ฉะนั้นอะไรที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงเล็กๆ น้อยๆ ถ้าคิดว่าเปลี่ยนตัวเองได้ก็จะทำ สุดท้ายพอรู้ว่าสำเร็จ โคตรภูมิใจ (หัวเราะ)
ฟังที่บอกว่าสามีเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเพื่อภารกิจนี้นี่น่ารักดีนะ เหมือนเป็นมิชชันของครอบครัวที่ร่วมกันทำอย่างตั้งอกตั้งใจ
น่ารัก เหมือนเขาตั้งใจทำร่างกายให้คลีน มุ่งมั่นออกกำลังกาย แต่ความจริงก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนดูแลตัวเองประมาณหนึ่งอยู่แล้ว อาจจะเพิ่มว่าเวลาออกจากบ้านไปข้างนอกก็จะหักห้ามใจ ไม่ใช่เฉพาะแค่เรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นะคะ แต่เรื่องอาหารการกินก็ด้วย เดี๋ยวนี้เวลาไปตามงานสังสรรค์ต่างๆ จะเริ่มดื่มน้ำเปล่า หรือไม่ก็จิบน้ำโซดาแทน ส่วนบุหรี่ สามีเป็นคนไม่สูบอยู่แล้ว
อยากรู้ว่าแผนการที่บอกว่าจดเป็นลิสต์ไว้ว่าฉันจะทำอะไรบ้างนี่ ‘มีอะไรบ้าง’ ขอเรื่องแบบจริงจังก็ได้ ไร้สาระก็ได้ แล้วแต่เลย
เริ่มต้นจากเรื่องไร้สาระก่อนเลย ชมอยากให้ลูกเกิดราศีสิงห์ เพราะรู้สึกว่าอยู่กับคนราศีนี้แล้วถูกกัน (ชมพู่เกิดราศีเมถุน) แต่รู้ว่ายาก ถ้าจะต้องออกแบบให้ปฏิสนธิกันเดือนนี้เป๊ะๆ (หัวเราะ) ชมเองก็มองดูแล้วว่างานของเราในปีนี้มีอะไรบ้าง ก่อนหน้านี้เรามีงานละครที่จะต้องปิดกล้อง ส่วนภารกิจใหญ่ๆ จะมีแค่งานเดินพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ในฐานะแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ‘ลอรีอัล’ ซึ่งงานนี้ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ชมต้องวางแผนเรื่องไทม์ไลน์ให้ดี เพราะคิดไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วว่าอยากเดินพรมแดงเวอร์ชัน ‘อารยาท้อง’ สักครั้งหนึ่ง
ทำไมถึงอยากไปเดินพรมแดงเทศกาลหนังเมืองคานส์เวอร์ชันท้อง มันสำคัญสำหรับชีวิตจิตใจเราอย่างไรบ้าง
อย่างแรกคือชมเคยเห็นฝรั่งทำเวอร์ชันนี้มาแล้ว (หัวเราะ) เออว่ะ ชมมองว่ามันน่าจะเป็นโมเมนต์ที่เราควร embrace ไปกับมัน
ชมมองว่าสังคมในบ้านเรา พอผู้หญิงท้องหรือแต่งงานมีครอบครัว เราจะต้องเริ่มเสียสละบางอย่าง หรือต้องยอมสูญเสียอะไรบางอย่างในตัวเรา บางคนอาจต้องดูแลบ้าน บางคนอาจจะต้องเป็นมนุษย์แม่ โอเค คำว่าแม่เป็นคำที่ต้องเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ แต่ชมไม่อยากให้ผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้วต้องรู้สึกว่าฉันไม่สวย ฉันไม่มีคุณค่าแล้ว หรือฉันเป็นแค่มนุษย์แม่ที่ไม่ต้องสวย หรือไม่ต้องดูแลตัวเองแล้วก็ได้
ชมกลับรู้สึกว่าความท้าทายของคนเป็นเมียและเป็นแม่คือคุณจะบาลานซ์ชีวิตอย่างไรให้ตัวเองยัง age beautifully และ gracefully คุณมีภารกิจใหม่ที่โคตรยิ่งใหญ่เลย แต่ในเวลาเดียวกัน คุณก็ยังสามารถทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันได้ ทั้งดูแลตัวเอง และดูแลคนในครอบครัว
สำหรับตัวชมเอง ที่ผ่านมาชมทำมาหมดแล้ว บริบทแบบนั้นมันเลยไม่มีอะไรที่ท้าทายเราแล้ว แต่กับบริบทของคำว่าแม่ ชมอยากทำ คือชมเข้าใจนะว่าคนเป็นแม่ต้องเสียสละอะไรเยอะ แต่ชมเชื่อว่าตัวเองทำทั้งสองอย่างได้ โอเค บริบทชีวิตของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะบอกว่าชมโชคดี มีคนโน้นคนนี้คอยช่วยเหลือ แต่ชมเชื่อว่าทุกคนมีความท้าทายในชีวิตที่แตกต่างกันไปทั้งนั้น ชมเองก็มีชาเลนจ์ของชม ฉะนั้นไม่ว่าเราจะอยู่บทบาทไหนในชีวิต นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องสูญเสียอะไรบางอย่างในตัวเราไป
หมายถึงว่าในบริบทของคำว่าแม่และเมีย คุณไม่เชื่อว่ามันจำเป็นต้องแลกหรือเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในตัวเราไป
บางสิ่งบางอย่างในชีวิตมันคงมีราคาของมันแหละ ชมว่านะ แต่ชมว่ามันทำได้ (เน้นเสียง) หมายถึงทำให้มันสวยงาม
วางแผนแม้กระทั่งราศีเกิดของลูก อย่างลูกแฝดนี่มาเองหรือคุณออกแบบไว้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าจะให้พูดแบบลงดีเทลนะ ถามว่าฟลุ๊กไหม สำหรับบางคน ความตั้งใจของเขาอยากได้ลูกแฝด แต่เขาไม่ได้ แต่กับบางคนเขาไม่ได้ตั้งใจจะได้ลูกแฝดหรอก ปรากฏว่าได้ อย่างชมเอง ชมยังไงก็ได้ แต่สามีบอกว่าถ้าได้แฝดก็ดี เพราะถ้าพูดถึงการลงทุนด้านเวลา มันก็ค่อนข้างจะคุ้มค่า
การมีลูกแฝดมันก็อาจจะเหนื่อยหน่อย แต่ความจริงการเลี้ยงลูก ไม่ว่ากี่คนก็คงเหนื่อยเหมือนกัน แต่ชมก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีกว่าผู้หญิงตั้งหลายคน เรามีพร้อมตั้งหลายอย่าง แล้วทำไมเราจะผ่านมันไปไม่ได้วะ
ถึงเราจะท้องก็อย่าปล่อยให้เราเป็นมนุษย์ท้องจนเกินไป แล้วชมไม่ค่อยดูคนท้องด้วยกันเอง แต่ชมยังเสพแฟชั่นแบบคนปกติ ชมก็ยังคงดูว่าตอนนี้รีฮานนาใส่อะไร
ที่เห็นว่าทำการบ้านเยอะอย่างนี้ เกี่ยวไหมว่าครั้งหนึ่งเราเคยผ่านประสบการณ์เฟลๆ เรื่องลูกมาก่อน
เกี่ยวเลยแหละ ในตอนนั้นทุกอย่างมันมาแบบไม่ได้วางแผนอะไร แล้วพอเกิดการผิดพลาด มันก็เกิดเป็นคำถามตามมา เหมือนอย่างตอนที่พ่อชมเป็นมะเร็ง ชมก็ตั้งคำถามว่ามะเร็งเกิดจากอะไร ทำไมคนนั้นก็เป็น คนนี้ก็เป็น แล้วทำไมมะเร็งต้องมาเกิดกับคนใกล้ตัวเราด้วยวะ เราก็เลยกลายเป็นพวกเนิร์ด (หัวเราะ) คือชอบค้นหาข้อมูล อ๋อ ที่มันเกิดขึ้นเพราะอย่างโน้นอย่างนี้นะ
กลับมาที่เรื่องลูก ชมว่าการที่คนคนหนึ่งจะมาเกิดมัน ‘by chance’ มาก มันไม่ใช่แค่ว่าไข่ตกวันนี้ สามี-ภรรยาไปทำการบ้านวันนี้ แล้วเด็กจะเกิดขึ้นมาเลย ความจริงคือมันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ทั้งเรื่องคุณภาพของไข่ หรือสเปิร์มตัวที่ว่ายน้ำมาเป็นตัวที่ดีที่สุดแล้วหรือยัง เรื่องของโครโมโซมในร่างกาย มันยังมีอีกเป็นล้านๆ ความเป็นไปได้ เพราะสเปิร์มที่ว่ายมามันมีเป็นล้านๆ ตัว ว่ายมาถึงรังไข่แล้วเขาเป็นยังไงบ้าง โตช้าหรือโตเร็ว และถึงแม้ว่าเซลล์ของเขาจะแข็งแรงมาก แต่ร่างกายของเรา ณ ตอนนั้นมีความพร้อมที่จะแครี่สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือเปล่า เพราะถ้าร่างแม่ยังไม่พร้อม ธรรมชาติมันก็จะยกเลิกการปฏิสนธินั้นไป ปัจจัยต่างๆ มันเยอะมากจนเราเข้าใจว่าทำไมสามี-ภรรยาบางคู่เขาถึงพยายามกันนานหลายปี แต่น้องก็ไม่มาสักที ชมถึงเชื่อว่าเรื่องอย่างนี้มัน ‘by chance’ จริงๆ
ตอนนี้การบ้านล่าสุดที่คุณเตรียมไว้มีอะไรบ้าง เล่าให้ฟังสักหน่อยไหม เช่น เตรียมตัวสำหรับการเป็นคุณแม่ลูกแฝดอย่างไรบ้าง
อย่างตั้งชื่อลูกก็มีแล้ว (หัวเราะ) นึกออกไหมว่าชื่อลูกมันเป็นอะไรที่จะมาทะเลาะกันหน้างานไม่ได้ ของอย่างนี้ต้องคิดมาก่อน
บอกชื่อลูกให้ฟังเป็นขวัญหูหน่อยได้ไหม
ยังไม่บอก (หัวเราะ)
ทำไมยังบอกไม่ได้ ตั้งชื่อลูกนี่ต้องถือเคล็ด ถือโชคลางอะไรหรือเปล่า
ไม่ได้ถือเคล็ด ความจริงผู้ใหญ่บางคนในครอบครัวยังไม่ชอบชื่อนี้นะ แต่กว่าจะได้ชื่อนี้มา ทั้งชมและสามีตีกันอยู่นาน จนกระทั่งอยู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาชื่อหนึ่ง เป็นชื่อเล่นที่ฟังแล้วชมซื้อ จากนั้นชมก็คิดอีกชื่อที่แมตช์กัน สามีก็ซื้อ แล้วชื่อจริงมันก็มีคำไทยที่เป็นความหมายตรงกันเป๊ะเลย แต่ยังไม่ได้เช็กเรื่องกาลกิณี
ส่วนตัวชมไม่ได้ซีเรียสอะไรนะ เพราะอย่างตอนที่แม่ชมตั้งชื่อ เขาก็ไม่ได้ไปปรึกษาเกจิอาจารย์ที่ไหน แม่เคยเล่าให้ฟังว่าไปที่อำเภอแล้วเขาเอาหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง นางก็เลือกตรงนั้นเลย (หัวเราะ) ซึ่งชีวิตเราก็ยังมีวันนี้
ชมรู้จักคนชื่อสวยที่ไม่เห็นจะสวยเลย หรือคนชื่อแหม่มที่ไม่ได้เป็นฝรั่ง ชมเลยคิดว่า ‘ชื่อ’ มันไม่ได้ ‘lebel’ ความเป็นตัวเราไปตลอดชีวิต
ชมว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดคือความสุขในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องของเงินอย่างเดียว
เราจะทำยังไงให้เขายอมรับตัวเอง และรักตัวเองในแบบที่เป็น
การเตรียมตัวภายนอกคิดว่ายังไม่เท่าไรหรอก แต่การเตรียมตัวภายในสำหรับการเป็นแม่ก็น่าจะสำคัญ ข้างในคุณต้องเตรียมตัวอะไรด้วยไหม
ชมว่าตัวเองเย็นลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ ถ้าพูดภาษาบ้านๆ ก็ต้องบอกว่า ‘ไม่สนอะไรเลยตอนนี้’ อย่างเรื่องดราม่าหรือเรื่องไร้สาระบางอย่างที่เราเคยรู้สึกว่าต้องฟัง ทั้งที่เกี่ยวกับเราบ้างหรือไม่เกี่ยวกับเราบ้าง ณ ตอนนี้มันแทบไม่มีความหมายกับชีวิตเลย เพราะรู้ว่าเรากำลังมีสิ่งที่เป็นของจริง เป็นความสุขที่แท้จริง และเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องโฟกัส เรื่องพวกนั้นเลยไม่มีความหมาย ไม่สนใจ
มีประสบการณ์ประเภทที่ว่า ถ้าไม่ท้องจะไม่มีวันเข้าใจมาเล่าให้ฟังสักหน่อยไหม
มีเยอะ อย่างเช่น คนท้องไม่จำเป็นจะต้องอยากกินอะไรแปลกๆ หรือไม่ใช่ว่าเห็นคนอื่นกินมะม่วงจิ้มกะปิแล้วฉันจะต้องน้ำลายสอ ห้ามใจตัวเองไม่ไหว (หัวเราะ) สิ่งที่เกิดกับเราคือกินอะไรไม่ค่อยลง กินอะไรมันก็ไม่มีรสชาติ ฉะนั้นสิ่งเร้ามันต้องรุนแรงนิดหนึ่ง คนท้องถึงจะกินได้ ที่ผ่านมาเราก็เคยเล่นเป็นคนท้องนะ ซึ่งพอถึงเวลาท้องจริงๆ ฟีลมันไม่ใช่เลย ที่ผ่านมาคือทำผิดหมด เช่น คนท้องไม่จำเป็นว่าจะต้องเดินแอ่นหลังตลอดเวลา (หัวเราะ) อีกอย่างที่พบคือเราจะต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย มันก็เป็นความท้าทายเหมือนกันนะที่เราจะต้องรับกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปของร่างกาย ซึ่งบางอย่างมันก็ไม่ค่อยสวยงาม มันไม่เหมือนเดิม
อย่างตอนนี้คือเอวไม่มีแล้ว หาเสื้อผ้าใส่ยากมากจริงๆ แล้วชมก็ไม่อยากแต่งตัวเป็นคนท้องด้วยนะ คือเสื้อผ้าที่เหมาะสมมันต้องรัดในส่วนที่ควรจะรัด และปล่อยในส่วนที่ควรจะปล่อย ฉะนั้นถ้าแต่งไม่ดี บางทีก็จะดูเป็นหมอนข้าง เพราะร่างกายเรามันไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งเหมือนเมื่อก่อน เราเริ่มมีเส้นสีดำรอบคอ รักแร้ดำ ตรงนั้นตรงนี้ดำ หรืออย่างเมื่อวานนี้ อยู่ดีๆ ก็สะดือจุ่นปลิ้นออกมา ทั้งที่เมื่อวานซืนท้องยังไม่เป็นแบบนี้เลย
แล้วคุณโอเคกับมันไหม หรือเข้าใจได้ว่าเดี๋ยวฉันก็กลับมาสวยเหมือนเดิมได้ แค่ช่วงนี้ต้องอดทนมองมันสักนิดหนึ่ง
ชมเข้าใจเลยว่าทำไมคนท้องถึงมีอารมณ์ซึมเศร้า เพราะพอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง บางคนก็อดเครียดไม่ได้ แต่เราคิดว่ามันก็เป็นอีกความท้าทายหนึ่งที่ต้องผ่านไปให้ได้ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมากู้กัน หลังจากคลอดลูกเสร็จฉันก็คงสู้ตายเหมือนกัน
สามี-ภรรยาที่กำลังคลอดลูกแฝดนี่เขาคุยเรื่องอะไรกันบ้าง สามีเคยต้องพูดอะไรทำนองว่า ‘มีลูกแล้วก็ทำงานในวงการให้น้อยลงสักหน่อย’ บ้างไหม
เขาไม่ได้พูดนะ แต่ชมตั้งใจอยู่แล้วว่ายังไงขวบปีแรกจะไม่รับงานละคร หลังจากนั้นถ้ามีจังหวะดีๆ หรือมีงานที่น่าสนใจ ชมอาจจะรับ แล้วพอเขาอายุได้สัก 2 ขวบ พอเข้าโรงเรียน ถึงตอนนั้นอาจจะมีอีกคนหนึ่ง… เขียนไว้ก่อนอีกแล้ว (หัวเราะ) คือเราไม่ได้ถึงกับร่างหรือเขียนไว้ แต่เราจดไว้ในใจ คือชมอยากมีลูกผู้หญิง ซึ่งถ้าได้ก็คอมพลีตแล้ว แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าไอ้สองคนนี้มันคลอดออกมาแล้วดื้อนรกแตก ถึงเวลานั้นชมอาจจะเข็ดก็ได้
อีกอย่างการมีลูกก็ดีเหมือนกัน เพราะพอเริ่มแก่มันคงไม่มีเรื่องจะคุยกันแล้ว อย่างชมกับสามี ก่อนแต่งงานเราคบกันมา 6-7 ปี นี่ถ้าไม่มีลูกก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรแล้ว ก็คงเป็นเหมือนอย่างคำโบราณที่เขาพูดกันว่า ‘ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ’
ที่บอกว่าจะรับงานน้อยลงเพราะตั้งใจจะเลี้ยงลูกเอง หมายถึงจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงด้วยไหม
เราอยากจะเลี้ยงเอง ตอนนี้ทุกคนจะถามว่าหาพี่เลี้ยงแล้วหรือยัง เราบอกว่ายังค่ะ คนที่ได้ฟังก็จะบอกว่า เดี๋ยวมึงคอยดู ผ่านไปได้ 3 วันแล้วจะรู้สึก (ยิ้ม) แต่ชมตั้งใจว่าช่วงแรกหลังกลับออกจากโรงพยาบาล เราคงต้องมีพยาบาลมาคอยดูแลระบบให้ เพราะคงเป็นเรื่องของการดูแลเด็กอ่อน แต่ถ้าหิวก็คือน้ำนมของเรา ซึ่งชมมองว่านี่เป็นช่วงที่เขายังมีฤทธิ์ไม่มาก ยังพูดไม่ได้ ยังเดินไม่ได้ ฉะนั้นคงไม่ใช่ว่าถ้าไม่มีพี่เลี้ยงหรือพยาบาลแล้วฉันต้องตายแน่ๆ เลย
อีกอย่างช่วงขวบปีแรกๆ มันก็สำคัญกับวิวัฒนาการทุกอย่าง การฟอร์มเรื่องบุคลิกภาพ นิสัยใจคอ มันเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงนี้ เราเข้าใจแหละว่าโตขึ้นเขายังต้องไปพบเจออะไรอีกเยอะ แต่ชมคิดว่าตรงนี้มันก็สำคัญ
ผู้หญิงที่ชอบวางแผนการนี่จะเป็นแม่ที่ดุไหม
คนดุน่าจะเป็นพ่อ เราคงดุกันทั้งสองคนไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าฉันจะปล่อยฟรี ไหลเรือไฟอะไรขนาดนั้น อีกอย่างชมสังเกตนะว่าบางบ้านที่เขาปล่อยให้พี่เลี้ยงดูแลลูกมากๆ แล้วถ้าพี่เลี้ยงคนนั้นเป็นคนใส่ใจ ให้เวลา ให้ความรักกับเขาเป็นส่วนใหญ่ สุดท้ายจะกลายเป็นว่าพ่อแม่ดุอะไรไม่ได้ พอดุเมื่อไร เขาจะวิ่งไปหาพี่เลี้ยง เพราะฉะนั้นเราต้องให้ความรัก ให้เวลากับเขาได้ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องสั่งสอนลูกได้ และทางเดียวที่จะเป็นไปได้คือคุณต้องให้เวลากับเขา
ปีหน้าเราจะยังเห็นอารยาที่พรมแดงเมืองคานส์อยู่หรือเปล่า
ไม่รู้เหมือนกัน ตรงนี้เป็นเรื่องของลอรีอัลว่าเขาจะยังใช้งานเราอีกไหม ซึ่งแต่ละปีมันก็มีปัจจัยหลายอย่างนะ ทั้งเรื่องงบประมาณ สภาวะเศรษฐกิจ ฯลฯ เพราะการไปเทศกาลหนังเมืองคานส์มันต้องมีสตอรีรองรับ ไม่ใช่ว่าไปเองเฉยๆ คนพาไปเขาก็ต้องใช้สตางค์ ซึ่งเราเข้าใจ
ฝั่งลอรีอัลไม่รู้ แต่ตัวเราเองล่ะ รู้สึกเต็มที่หรือยังกับบทบาทตรงนั้น หรือเรายังมองเห็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับตัวเองได้อยู่
ชมยังไปได้ ยกตัวอย่าง ไอศวรรยา ราย (Aishwarya Rai นักแสดงสาวจากประเทศอินเดีย) ปีนี้เธอมาเดินพรมแดงเป็นปีที่ 16 ติดต่อกัน จำได้ว่าตอนชมไปเดินปีที่แล้ว ทีมงานเขาจัดปาร์ตี้เล็กๆ เป็นเซอร์ไพรส์ฉลอง 15 ปีให้ คิดดูสิ 15 ปีไม่มีใครดึงเขาลงได้ แน่นอนจริงๆ
คงเป็นอีกมุมที่พิสูจน์ว่า ‘ถึงแต่งงานและมีลูกก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องสูญเสียอะไรไป’ และยังคงมีเรื่องท้าทายให้กับผู้หญิงได้ตลอด…
ถ้าเราอยู่ตรงนั้น เราจะรู้ว่ามันเป็นเวทีสำคัญสำหรับทุกคนเลย เจน ฟอนดา (Jane Fonda) หรืออย่างซูซาน ซาแรนดอน (Susan Sarandon) ที่ตอนนี้อายุ 70 แต่นางก็ยังไป แล้วนางเปรี้ยวนะที่ใส่แว่นตาดำเดินพรมแดง ทั้งที่คนอื่นแต่งหน้ากันแทบตาย ซึ่งถ้าเราทำ ลอรีอัล ไทยแลนด์ คงเคืองมาก เพราะฉันจะขายอายแชโดว์ นึกออกไหม (หัวเราะ) คือเราก็เข้าใจโลกของธุรกิจด้วย การที่เรามาจากประเทศเล็กๆ กับการที่เขาโยนเงินมาเพื่อให้เราทำสิ่งนี้ มันย่อมไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ที่ต้องสร้างเพียงอย่างเดียว แต่เราต้องสร้างยอดขายกลับไปให้เขาได้เห็นด้วย เพราะฉะนั้นบนพรมแดงในเทศกาลหนังเมืองคานส์ เราก็จะได้เห็นว่ามีการขายของกันแบบสู้ตาย
แต่ในเวลาเดียวกัน เวทีเดียวกัน เราก็ได้เห็นซูซาน ซาแรนดอน ใส่แว่นดำเดินพรมแดง คิดดูสิ ผู้หญิงอายุ 70 แล้ว แต่ยังอยู่ตรงนี้ได้ เธอยังมีเฟรมของตัวเอง เธอยังมีชื่อเสียง ยังดูแลตัวเอง และยังมีหนังดีๆ ให้เล่น
เชื่อว่าคุณเองก็น่าจะมองคุณภาพในระดับนั้นไว้ด้วยเหมือนกัน
ใช่ค่ะ แล้วทุกปีที่ไปมันจะมีเรื่องอะไรแบบนี้ที่อินสไปร์เรา ฉะนั้นถ้าเรารักษาคุณภาพตัวเอง เราก็ยังไปได้เรื่อยๆ ชมมองว่าชีวิตมันยังมีทางให้ได้ไปต่ออีกกับเวทีระดับนี้
ปีนี้สามีคุณไปด้วย น่าจะสร้างโมเมนต์ที่แตกต่างกว่าทุกปีได้
ชมว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้ยุ่งอะไรกับเรื่องงาน ด้วยความตั้งใจคือเขาอยากไปดูแล เพราะที่เดินทางไปมันคือ 3 ชีวิตเลยนะ ทั้งแม่และลูก สำหรับชมมันเป็นการซัพพอร์ตทางใจ แล้วพอสามีไป ปีนี้ทีมงานก็จะยิ่งเกรงใจ พยายามจะเหลือสเปซให้เรา อย่างมื้ออาหารเย็น เราก็อาจจะแยกไปกินสงบๆ กับสามีบ้าง
สามีเคยเอ่ยปากบอกว่าภูมิใจในตัวภรรยาบ้างไหม
เขาไม่ค่อยแสดงออกหรอก แต่คงภูมิใจแหละ เพราะเขาก็ซัพพอร์ต ไม่ได้ขัดขวาง เขารู้ว่าเราชอบ เห็นเราแต่งตัวเยอะๆ บ้าๆ บอๆ แล้วบางทีเขาก็ให้ข้อคิด อย่างการไปคราวนี้ ด้วยความที่เขาเป็นนักธุรกิจ เขาก็จะมองเห็นอะไรในมุมธุรกิจ ซึ่งเราก็รับฟัง
นี่พูดจริงๆ ถึงคุณจะท้องลูก 6 เดือน แต่สไตล์การแต่งตัวก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปกว่าเดิมเลยนะ ซึ่งแต่ละชุดก็ออกมาดีมาก คุณมีเรเฟอเรนซ์การแต่งตัวจากใครบ้างหรือเปล่า
พูดจริงๆ เคยคิดจะกูเกิลเหมือนกันนะ แต่เข้าไปแล้วมันก็ไม่เจออะไรที่เก๋เลย ของอย่างนี้มันต้องเรียนรู้เอง แล้วคนท้องแต่ละคนก็สรีระไม่เหมือนกัน จะบอกว่ายังไงดีล่ะ คือถึงเราจะท้องก็อย่าปล่อยให้เราเป็นมนุษย์ท้องจนเกินไป แล้วชมไม่ค่อยดูคนท้องด้วยกันเอง แต่ชมยังเสพแฟชั่นแบบคนปกติ ชมก็ยังคงดูว่าตอนนี้รีฮานนาใส่อะไร
อย่างไปเดินพรมแดงในคานส์ ชุดที่คุณใส่ในปีนี้เลือกยากขึ้นไหม
ความจริงมันก็จะมีข้อจำกัดเยอะ ด้วยความที่ท้อง ไปคานส์ปีนี้เราก็ทำการบ้านดีกว่าทุกปี ชมบินไปปารีสก่อน 1 รอบเพื่อจะไปฟิตติ้ง เราลองชุดเพื่อที่จะดูความเป็นไปได้ว่าชุดไหนน่าจะใส่ได้บ้าง ความตั้งใจคือมีทั้งชุดที่โชว์ว่าเราท้อง แต่ด้วยความที่รู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าจะต้องเดิน 4 วัน ถ้าเราจะโชว์เป็นผู้หญิงท้องทั้ง 4 วันมันก็จะเลี่ยน ฉะนั้นบางวันเราอาจจะใส่ชุดที่คนลืมไปเลยว่านังนี่มันท้อง แล้วพอกลับมาเดินอีกวันก็ทำให้คนนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้เขาท้องนี่นา (หัวเราะ) นั่นคือสิ่งที่ชมตั้งใจไว้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าร่างกายชมเปลี่ยนแปลงทุกวัน หลังจากไปฟิตติ้งชุดที่ปารีส กว่าจะได้เดินจริงคืออีก 4-5 วัน ถึงตอนนั้นรูปร่างชมก็เปลี่ยนอีก
เบื้องหลังมันมีดีเทลอีกเยอะมาก เช่น ชมจองชุดหนึ่งไว้ล่วงหน้า 2-3 เดือนเลย เพราะชมชอบชุดนี้มาก (เน้นเสียง) เราก็ให้ทีมสไตลิสต์ส่งรีเควสต์ไป ซึ่งเขาให้คำตอบกลับมาว่าชุดนี้ ‘ติดจอง’ โดย US Celebrity
จนกระทั่งไปฟิตติ้งที่ปารีส เราก็ยังถามถึงชุดนี้อยู่ หรือถ้าไม่ได้ชุดนี้ เราก็ขอชุด ‘ทำนองนี้’ ในคอลเล็กชันอื่นที่เก่ากว่านี้ก็ได้ แบรนด์ก็บอกกลับมาว่าคงทำให้ไม่ได้ เพราะห้องเสื้อเขาไม่ได้ใหญ่มาก แล้วตลอดทั้งเทศกาลมันควรจะมีดาราอยู่แค่ 2-3 คนที่ได้ใส่ ซึ่งถ้า US Celebrity คนที่จองไว้เลือกไปใส่เดิน แบรนด์ก็ไม่อยากให้ชุดใหญ่กับชุดใหญ่ใส่มาชนกัน เราก็เลยรอลุ้นอย่างเข้าใจ เพราะคนที่จองไว้เขาเบอร์ใหญ่มาก ชุดเขาเยอะมาก แล้วเขาก็มีสิทธิที่จะแคนเซิล ซึ่งสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ใส่ เขาเอาชุดไปแขวนไว้เฉยๆ
บอกชื่อได้ไหม ชักอยากรู้แล้ว
คุณรีฮานนาค่ะ สุดท้ายรีฮานนาเขาก็ไม่ได้ใส่ แต่ชมคิดในใจไว้แล้วนะว่าเขาไม่น่าเลือกมาใส่ เพราะชุดมันไม่ใช่มู้ดของเขาในตอนนี้ ซึ่งนางก็ไม่ใส่จริงๆ
ชุดนั้นอยู่ในโรงแรมเดียวกับชมเลย แต่ชมเอาออกมาไม่ได้ เพราะยังไม่มีคนนำชุดมาส่งคืน ชมก็เลยต้องดันอีกชุดหนึ่งขึ้นมาใส่แทน มันมีเรื่องราวของการต่อสู้จนถึงวันสุดท้าย แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามา เราเข้าใจนะ ก็นั่นรีฮานนา แล้วนี่ชมพู่ อารยา นึกออกไหม (หัวเราะ)
หลังจากเดินทางในวงการบันเทิงมานาน ถ้ามีคนชวนคุณขึ้นไปพูดบนเวที Ted Talks เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น คิดว่าเรื่องแบบไหนที่ชมพู่ อารยา จะสื่อสารได้ดีที่สุด และคุ้มค่าที่จะแชร์มันเพื่อคนอื่น
จริงๆ แล้วชมค่อนข้างหลีกเลี่ยงอะไรอย่างนี้อยู่ตลอด ที่ผ่านมาก็เคยมีคนชวนชมเขียนหนังสือนะ ซึ่งชมก็บอกว่าไม่รู้ว่าจะเล่าเรื่องอะไร เพราะรู้สึกว่าชีวิตตัวเองมันธรรมดามาก ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีอะไรที่พิเศษที่จะไปสั่งสอนใครได้
บางทีมีหลักสูตรที่คนชอบไปเรียนๆ กัน แล้วเขาติดต่อมา โอ้โห จะให้ชมไปสอนอะไรเขาวะ เพราะชมคิดว่าตัวเองไม่ได้ดีหรือเก่งอะไรขนาดนั้น ที่ผ่านมาเราก็แค่มุ่งไปตามสัญชาตญาณ มี ‘หิริโอตตัปปะ’ (ความละอายต่อบาป) หรือสิ่งที่เราเชื่อว่าคือสิ่งถูกและสิ่งผิดนำทางไปเป็นพื้นฐาน เราก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองวิเศษไปกว่าใคร
คนทั้งประเทศอาจจะมองว่าชีวิตชมพู่ อารยา ดูพิเศษมาก แต่คุณกลับไม่คิดว่าชีวิตตัวเองพิเศษไปกว่าเส้นทางชีวิตของคนทั่วไป เข้าใจถูกไหม
คือชม thankful นะ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมาก เรามีโอกาสที่ดี แต่การที่เราโชคดีหรือได้รับโอกาสที่ดี มันไม่น่าจะเพียงพอให้เราไปสอนใครมั้ง อีกอย่างมันก็ไม่ใช่นิสัยของชมด้วย อย่างถ้าใครตามอินสตาแกรมของชม หรือโซเชียลฯ ที่เป็นส่วนตัวมากๆ อย่างเฟซบุ๊ก ซึ่งชมก็ไม่ค่อยเล่น เขาก็จะได้เห็นว่าชมไม่ค่อยระบายหรือมีข้อคิดคมๆ มาสอนใครสักเท่าไร
อย่างวันนี้ที่เราคุยกัน คุณก็เลือกชุดมาเอง แถมใส่รองเท้าส้นสูงมาด้วย คนกำลังตั้งท้องแล้วใส่ส้นสูงไม่เป็นไรเหรอ แล้วระหว่างเดินทาง คุณก็เดินด้วยตัวเอง ทะมัดทะแมงสุดๆ อารยาดูเป็นคนท้องที่สตรองเอามากๆ
คือเราไม่อยากให้ตัวเองต้องเป็นภาระของใคร แต่ก็ยอมรับว่าการเป็นคนท้องมักจะได้ความเห็นใจ ได้อภิสิทธิ์มากกว่าคนอื่น เรื่องการใส่รองเท้า ความจริงแล้วใส่ได้บ้าง ถ้าเราไม่ได้ใส่นาน ชมแค่ใส่มาให้ถ่ายรูป ซึ่งร่างกายของชมก็แข็งแรงดีเนื่องจากออกกำลังกายมาอย่างสม่ำเสมอ
ชมว่าคนเป็นแม่รุ่นเราเนี่ยโชคดีที่สามารถจะหาแหล่งความรู้ที่ให้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ อีกอย่างชมเชื่อว่าโดยสัญชาตญาณ เราจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรที่ร่างกายทำได้ ยิ่งถ้าคนที่ออกกำลังกายหรือฝึกโยคะมา เราจะรู้ลิมิตร่างกายของตัวเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ชมว่าเอาที่คุณสบายใจ มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่สนิทกันกับชมบอกว่า มึงอยากทำอะไร มึงทำไปเลย เพราะสุดท้ายแล้วสุขภาพจิตสำคัญที่สุด
อย่างตอนนี้ชมก็ไม่รู้ว่าตัวเองท้องหรือเป็นแม่ชี คือรู้สึกว่าตัวเองนิ่งมาก มีอยู่วันหนึ่งเราออกไปทำงาน ไปเป็นนางแบบถ่ายรูปให้พี่ณัฐ ประกอบสันติสุข (ช่างภาพแฟชั่นชื่อดัง) พี่ณัฐบอกว่าตอนนี้ไอ้ความอะไรต่างๆ ในตาเรามันหายไป ซึ่งดีแล้ว พี่เข้าใจว่าหนูกำลังเป็นแม่ แล้วก็เย็น พี่สัมผัสได้เลย แต่ว่าตอนนี้พี่ต้องการความต่อสู้ ฟาดฟันในดวงตา ขอให้พี่หน่อยได้ไหม อ๋อ ได้ค่ะพี่ณัฐ (หัวเราะ) ที่เล่าให้ฟังเพราะต้องการจะบอกว่าตอนนี้เหมือนเราอยู่ในโหมดที่ไม่ take shit เลย ใครจะมาตีกันหรือทำอะไรตรงหน้า ชมไม่รับเลย ชมไม่สนใจ
คิดว่าเป็นเพราะธรรมชาติกำลังมอบบทบาทแม่ให้ หรือนิ่งขึ้นเพราะเติบโตไปตามช่วงวัย
ชมว่าอาจจะทั้งสองอย่าง ยิ่งช่วงนี้ที่ร่างกายเราท้อง แค่หายใจเรายังระวังเลย เพราะถ้าเราหลุดหุนหันพลันแล่น สักพักมันจะเหนื่อย ร่างกายเราก็เลยทำทุกอย่างให้ช้าลงไปเอง
ครั้งหนึ่งชมพู่เคยบอกไว้ว่าอยากเปลี่ยนบริบทไปสู่ความเป็นแม่ ตอนนี้พอกำลังจะเป็นแม่คนจริงๆ เชื่อว่ามันเป็นความท้าทายของคุณไปตลอดชีวิตอย่างที่ไม่ต้องเปลี่ยนบริบทใหม่อะไรอีกแล้วมั้ง
คงจะเป็นแบบนั้น เพราะต่อจากนี้ชมคิดว่าคงไม่มีอะไรที่ชมจะบอกได้ว่า… รับมือได้แล้ว ชินแล้ว เข้าสู่รูทีน เพราะความจริงพอเราเริ่มชินกับสเต็ปนี้ เดี๋ยววัยเขาก็เปลี่ยนอีกแล้ว จากแบเบาะเป็นเริ่มคลาน เริ่มเดิน เริ่มเป็น trouble maker เริ่มรู้จักการต่อรอง ฯลฯ ฉะนั้นเราก็ต้องรู้จักปรับตัวและเข้าใจวัยของเขาไปเรื่อยๆ มันเป็นความท้าทายใหม่ที่จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จริงๆ
จะเป็นแม่ที่แนวคิดวัยรุ่นไหม เพราะคุณบอกว่าอยากให้ลูกเป็น ‘mini me’
(หัวเราะ) ก็พยายามนะคะ แต่จริงๆ ชมก็ไม่ใช่คนคร่ำครึอยู่แล้ว ชมค่อนข้างเปิด เราเป็นคนมีจุดยืน แต่เราพร้อมเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเห็นว่าโลกมันเปลี่ยน มันก็ต้องมองโลกไปตามจริง เพราะฉะนั้นชมคิดว่าคงจะไหลไปกับเขา
แต่มีลูกแฝดผู้ชายนี่จะ mini me กันยังไงดีล่ะ หรือคิดว่าสุดท้ายก็มีมุมแม่-ลูกจนได้
พอถึงจังหวะนี้ ชมไม่ได้คาดหวังแล้วนะ แต่คิดว่าสามีเขาก็คงคิดอะไรในแบบของเขาไว้แหละ เพราะคนเป็นผู้ชายก็อยากสร้างอาณาจักร แล้วเขาคงอยากมีคนมาดูแลอาณาจักรของเขาต่อ คงอยากให้ลูกเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ตัวเราเองคงเป็นฝ่ายซัพพอร์ต เราคงยังไงก็ได้
ชมคิดว่าความสำเร็จในชีวิตมันก็สำคัญแหละ ส่วนหนึ่งมันก็มาจากการวางรากฐานเท่าที่เราพอจะวางไว้ให้ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่บทพิสูจน์ บางคนก็เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่สุดท้ายเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อก็มีให้เห็นอยู่เยอะแยะ ชมว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากที่สุดคือความสุขในชีวิต มันไม่ใช่เรื่องของเงินอย่างเดียว เราจะทำยังไงให้เขายอมรับตัวเอง และรักตัวเองในแบบที่เป็น มีความสุขกับทุกวันไม่ว่ามันจะไปทำอะไร เป็นความสุขที่ไม่ได้เกี่ยวกับวัตถุ ซึ่งชมว่าตรงนี้มันท้าทายเหมือนกันว่าเราจะสอนยังไงให้เขาเป็นอย่างนั้น
ตอนนี้เริ่มทำการบ้านไว้หรือยังว่าจะสอนลูกแบบไหน
ชมก็คิดนะว่าแล้วเราโตมายังไง แม่เราเลี้ยงมาแบบไหน ทำไมเราถึงเป็นคนอย่างนี้ เราอยากให้เขามีความสุขในแบบที่เราเป็น คือยอมรับสภาพความเป็นจริงได้ง่ายๆ เข้าใจโลก มีความสุขแบบง่ายๆ กับเรื่อง simple
ชมว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราโตมาโดยที่แม่ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเราเหมือนกัน เขาไม่ได้ตีกรอบ เขาปล่อยให้เราเป็นตัวเอง รักตัวเอง เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ต้องคาดหวังกับเขามาก แต่จะคอยซัพพอร์ตในทุกสเต็ปของชีวิต
บริบทของคำว่าแม่ก็สำคัญ แล้วบริบทที่อยากจะสื่อสารกับคนเป็นแม่ด้วยกันนี่ยังมองว่าสำคัญอีกหรือเปล่าหลังจากนี้
คือเราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ของเราขนาดนั้น แต่คิดว่า why not… ทำไมถึงไม่ทำ ถ้าเรามีเวทีตรงนี้ที่จะบอกกับผู้หญิงคนอื่นได้
ที่ผ่านมาเราก็รู้สึกดีนะ เวลามีใครมาบอกว่าเราอินสไปร์เขาอย่างโน้นอย่างนี้ แล้ว ณ วันนี้ที่เราอายุมากขึ้น เรามีอีกบทบาทหนึ่ง ซึ่งเราคงไม่ได้อินสไปร์เขาในแบบที่เราเคยอินสไปร์ตอนอายุ 17-18 ชมแค่คิดว่ามันคงจะดี ถ้าผู้หญิงเราหลุดพ้นจากกรอบเดิมๆ ว่าเป็นแม่แล้วฉันคงทำอย่างที่เคยทำไม่ได้หรอก เพราะยุ่ง ลูกก็กระจองอแง แต่ความจริงชมเชื่อว่าผู้หญิงทุกคนทำได้ แค่ต้องเชื่อมั่น
สไตลิสต์: ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี
สถานที่: โรงแรม ดิ โอกุระ เพรสทีจ กรุงเทพฯ