×

ล้มแล้วลุก ตายแล้วเกิดใหม่ บริตนีย์ สเปียร์ส พลิกชีวิตขึ้นมาได้อย่างไร

05.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. Read
  • ความดังของบริตนีย์เทียบเคียงได้กับมาริลิน มอนโร โดยทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันตรงที่เป็น American Sweetheart ที่ทุกคนหลงรักและติดตามทุกฝีก้าว แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับชื่อเสียงคือ การสูญเสียความเป็นส่วนตัว และต้องอยู่ในกรอบระเบียบที่สังคมยอมรับ
  • การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เริ่มกะเทาะเปลือกนอกแสนเพอร์เฟกต์ของบริตนีย์เกิดขึ้นหลังจากที่เธอเลิกรากับ จัสติน ทิมเบอร์เลก
  • ข่าวของบริตนีย์ในช่วงหนึ่งรุนแรงและย่ำแย่จนบางสำนักข่าวถึงกับเตรียมข่าวมรณกรรมของเธอไว้หากมีอะไรเกิดขึ้น เพราะตอนนั้นบริตนีย์เองก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชด้วย
  • แม้ดูเหมือนหมดหวัง แต่แสงสว่างที่ปลายทางชีวิตบริตนีย์ก็เกิดขึ้น เมื่อคุณพ่อเจมส์ สเปียร์ส เข้ามาชุบชีวิตและช่วยดูแลทั้งด้านการงาน-การเงิน ทุกวันนี้คุณพ่อของเธอจึงเป็นคนจัดการทรัพย์สินทั้งหมด และเป็นผู้กำหนดว่าเธอจะใช้จ่ายอะไรได้บ้าง

 

     “คุณจะได้เห็นด้านมืดที่สุดในโลก แต่ในทางกลับกัน คุณก็จะได้เห็นสิ่งที่สวยงามที่สุดเหมือนกัน มันต่างกันสุดขั้วจริงๆ พอมันแย่ก็แย่จนลืมไม่ลง แต่พอเหมือนสวรรค์ มันก็คือสวรรค์ของจริง” นี่คือคำพูดปิดท้ายของ บริตนีย์ สเปียร์ส เกี่ยวกับเส้นทางการเป็นศิลปินในสารคดีเรื่อง For the Record ที่ฉายทาง MTV ปี 2008 หนึ่งปีหลังจากที่เธอโกนผม เข้าโรงพยาบาล และกลายเป็นเหมือนตุ๊กตาเป่าลมของสังคมที่ทุกคนรักและเชิดชู แต่พอมีปัญหาก็พร้อมจะมองเธอเป็นตัวตลกทันที

     ถ้ามองย้อนกลับไป ช่วงแรกที่โลกได้หลงรักบริตนีย์กับลุคชุดนักเรียนถักผมเปียในเพลง …Baby One More Time จนถึงทุกวันนี้ที่เธอกำลังจะมาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเราพร้อมลูกสอง พูดได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับครั้งไม่ถ้วน และมันทำให้เห็นถึงความแข็งแกร่ง ความอดทน และความเป็นศิลปินที่ทุกคนยังคงรักและเอาใจช่วย

     คำถามที่น่าสนใจก็คือเธอพลิกชีวิตกลับมาได้อย่างไร

 

บริตนีย์ในรายการ “Star Search” ตอนอายุ 11

 

บริตนีย์กับพี่ชายไบรอัน

 

     บริตนีย์ จีน สเปียร์ส (Britney Jean Spears) เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ปี 1981 เติบโต ณ เมืองเคนต์วูด รัฐลุยเซียนา กับพี่ชาย ไบรอัน เจมส์ สเปียร์ส (Bryan James Spears) และน้องสาว เจมี ลินน์ สเปียร์ส (Jamie Lynn Spears) โดยคุณพ่อเจมส์ สเปียร์ส (James Spears) ประกอบอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง บริตนีย์เริ่มก้าวสู่วงการบันเทิงตั้งแต่ 8 ขวบโดยที่แม่ของเธอพาไปออดิชันตามงานต่างๆ ซึ่งก่อนหน้านั้นเธอเคยฝึกและฝันจะเป็นนักยิมนาสติก

     ความสำเร็จแรกของบริตนีย์เกิดขึ้นในปี 1992 เธอถูกคัดเลือกให้อยู่ในรายการ The Mickey Mouse Club ร่วมกับไรอัน กอสลิง, คริสตินา อากีเลรา และจัสติน ทิมเบอร์เลก ซึ่งจัสตินก็เคยเป็นแฟนและคนสำคัญในชีวิตของบริตนีย์ แม้ว่ารายการนี้จะปิดตัวลงในไม่กี่ปีต่อมา และเธอต้องย้ายกลับไปอยู่เมืองเคนต์วูด แต่บริตนีย์ก็อดทนและสู้เพื่อความฝันจนได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Jive Records ในวัย 15 ปี และดังเป็นพลุแตกตั้งแต่ซิงเกิลแรกจนถึงปัจจุบัน

     ความดังของบริตนีย์เทียบเคียงได้กับอีกหนึ่งไอคอนตลอดกาลอย่าง มาริลิน มอนโร โดยทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันตรงที่เป็น American Sweetheart ที่ทุกคนหลงรักและติดตามทุกฝีก้าว แต่สิ่งที่ต้องแลกมากับชื่อเสียงคือ การสูญเสียความเป็นส่วนตัว และต้องอยู่ในกรอบระเบียบที่สังคมยอมรับ ซึ่งต่างจาก มาดอนนา หรือเลดี้ กาก้า ที่ยังสามารถนอกคอกและกล้าที่จะแสดงอารมณ์ต่างๆ ได้

     ในปี 1999 แค่บริตนีย์ถ่ายปกนิตยสาร Rolling Stone เธอก็โดนวิพากษ์วิจารณ์ในลุคกางเกงขาสั้นและบราท็อป ทั้งที่ถ้าเทียบกับอีกหนึ่งสาวจากบ้านดิสนีย์อย่าง ไมลีย์ ไซรัส ภาพลักษณ์ของบริตนีย์ก็ถือว่าไม่ได้หวือหวาอะไร (ไมลีย์มีผู้จัดการคนเดียวกันกับบริตนีย์ชื่อ ลาร์รี รูดอล์ฟ (Larry Rudolph)

 

รายการ The Mickey Mouse Club

 

นิตยสาร Rollingstone ในปี 1999

 

     การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เริ่มกะเทาะเปลือกนอกแสนเพอร์เฟกต์ของบริตนีย์ และทำให้เธอกลายเป็นเป้าสายตาของสื่อเกิดขึ้นหลังจากที่เธอเลิกรากับ จัสติน ทิมเบอร์เลก ในตอนนั้นทั้งสองเหมือนคู่ในวรรณคดีที่ทุกคนอยากให้ลงเอยกัน แต่พอเลิกกัน พฤติกรรมของบริตนีย์ก็เริ่มรุนแรงและดื้อรั้น ซึ่งเธอเคยบอกว่า อยากให้คนมองเธอเป็นสาวธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตเหมือนผู้หญิงคนอื่น เธอเริ่มทำตัวช็อกโลกครั้งแรกด้วยการแต่งงานกับเพื่อนสมัยเรียน เจสัน อเล็กซานเดอร์ (Jason Alexander) ที่ลาสเวกัส และเลิกกันใน 55 ชั่วโมงต่อมา จากนั้นเธอได้คบหากับแดนเซอร์ เควิน เฟเดอร์ไลน์ (Kevin Federline) และมีลูกสองคนชื่อ ฌอน เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์ (Sean Preston Federline) และเจย์เดน เจมส์ เฟเดอร์ไลน์ (Jayden James Federline) เพลงในช่วงนั้นของบริตนีย์อย่าง My Prerogative ก็สะท้อนถึงความอยากเป็นตัวเองโดยไม่ต้องการให้ใครมากดขี่และกำหนดเส้นทางให้

     พอถึงปี 2007 บริตนีย์เลิกกับ เควิน เฟเดอร์ไลน์ และเผชิญช่วงชีวิตที่พูดได้ว่าเหมือนสึนามิที่ซัดเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว การแสดงของเธอที่งาน MTV Video Music Awards กับเพลง Gimme More กลายเป็นสิ่งที่คนยังคงล้อเลียนจนถึงทุกวันนี้ เธอเริ่มไปปาร์ตี้กับ ลินด์เซย์ โลฮาน และปารีส ฮิลตัน และบริตนีย์ก็ช็อกโลกอีกครั้งด้วยการเข้าไปในร้านทำผมแห่งหนึ่งที่ย่านทาร์ซานา ลอสแอนเจลิส และโกนผมตัวเอง พร้อมกับใช้ร่มไปทุบกระจกรถปาปารัซซี

     ในช่วงนั้นโซเชียลมีเดียเริ่มมีบทบาทมากขึ้น และภาพข่าวปาปารัซซีก็มีมูลค่าสูงขึ้น พฤติกรรมของบริตนีย์ถูกเล่นเป็นเรื่องบันเทิง รูปถ่ายของเธอขายได้ราคาสูงถึงหนึ่งแสนดอลลาร์สหรัฐต่อเหตุการณ์ ข่าวความรุนแรงของบริตนีย์ในตอนนั้นถือว่าย่ำแย่จนบางสำนักข่าวถึงกับต้องเตรียมข่าวมรณกรรมของเธอเอาไว้หากมีอะไรเกิดขึ้น เพราะตอนนั้นบริตนีย์เองก็ถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชด้วย

 

บริตนีย์ในปี 2007

Photo: ROBYN BECK, AFP/Profile

 

     แม้ดูเหมือนหมดหวัง แต่แสงสว่างที่ปลายทางชีวิตบริตนีย์ก็เกิดขึ้น เมื่อคุณพ่อเจมส์ สเปียร์ส เข้ามาชุบชีวิต และช่วยควบคุมทั้งด้านการงาน-การเงิน ภายในไม่กี่เดือนบริตนีย์ก็พลิกชีวิตและกลับมาพร้อมอัลบั้มอันดับหนึ่งอีกครั้งกับ Circus เธอกลายเป็นศิลปินที่ทุกคนพร้อมจะกลับมารักและคอยเอาใจช่วยให้ไม่เธอล้มลงอีก

     แต่คงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตัวบริตนีย์ที่จะผ่านมรสุมชีวิตอันเลวร้าย และยังต้องเดินหน้าต่อในวงการที่ทำให้เธอเจ็บตัว หนำซ้ำยังต้องเจอสภาวะเดิมๆ ของโลกมายา ทุกวันนี้คุณพ่อของเธอจึงเป็นคนจัดการทรัพย์สินทั้งหมด และเป็นผู้กำหนดว่าเธอจะใช้จ่ายอะไรได้บ้าง ทีมงานจัดการบริหารตารางงานของเธอก็ยังเป็นชุดเดิมตั้งแต่อัลบั้มแรก โดยสื่อไหนอยากสัมภาษณ์อะไรก็จะมีกฎระเบียบอย่างชัดเจนว่าคำถามแบบไหนที่ได้และไม่ได้

     ทุกวันนี้บริตนีย์ยังคงเป็นศิลปินระดับโลกที่ทุกคนเฝ้ารอ แค่ในประเทศไทย บัตรคอนเสิร์ตก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว เธอยังคงสถานะ ‘แม่ก็คือแม่’ ของใครหลายๆ คน แม้ว่าในความเป็นจริง บริตนีย์ไม่ต่างอะไรกับสินค้าที่ถูกใช้งานตลอดเวลาเพื่อสร้างความสุขและเม็ดเงิน แต่ใครจะรู้ เธออาจอยากเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง เหมือนที่เคยพูดมาตลอด

     บริตนีย์เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “ฉันก็ใช้ชีวิตเหมือน The Karate Kid นั่นแหละ” ซึ่งนั่นเป็นประโยคที่บ่งบอกว่าล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาใหม่ และมีชีวิตต่อไปอย่างที่เธอเคยเป็นมา ไม่ว่าจะเมื่อวาน วันนี้ และวันต่อไป

 

บริตนีย์และลูกชายทั้งสองคน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X