×

‘ลองดี’ จนกลายเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต เบสท์ ณัฐสิทธิ์

24.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • เบสท์เริ่มร้องเพลงตั้งแต่ ป.3 มีความฝันอยากเป็นนักร้องตอน ม.5 เขาตั้งวงดนตรีกับเพื่อน และเพลงเป็นส่วนสำคัญของชีวิต อย่างน้อยก็เป็นเครื่องระบายความเครียดให้เขาได้เป็นอย่างดี
  • เพลง ‘ลองดี’ เขียนขึ้นมาจากนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของเบสท์ที่รู้สึกอยากขอโทษและขอบคุณแฟนที่อดทนอยู่เคียงข้างเขามาตลอด
  • เบสท์มีคติประจำตัวคือ ลองทุกอย่างที่มีโอกาสเข้ามาในชีวิต เรื่องไหนดีก็เก็บไว้พัฒนาตัวเอง เรื่องไหนไม่ดีก็นำมาสร้างเป็นเกราะคุ้มกันให้รู้ว่าอย่าทำเรื่องแบบนั้นอีก

     ที่ผ่านมาเรารู้จัก เบสท์-ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์ ในฐานะนักแสดงวัยรุ่นที่หน้าตาดี ตลก กวน แสดงหนังเก่ง มีเอกลักษณ์ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูง แต่ในวันนี้เขามาพร้อมกับบทบาทศิลปินใหม่แกะกล่องจากค่าย Boxx Music ที่เพิ่งปล่อยเพลงหวานๆ อย่าง ‘ลองดี’ ออกมาชิมลางเรียกรอยยิ้มให้กับทุกคน เพลงที่ทำให้ความฝันของเด็กผู้ชายที่เคยเอาแต่แหกปากโวยวายกลายเป็นจริงขึ้นมาในวันนี้

     กว่าจะมาเป็นเพลง ลองดี ที่น่ารักแบบนี้ เบสท์ต้องผ่านการลองดีมาแทบทุกรูปแบบไม่ว่าจะผิดหรือถูก ซึ่งเราเชื่อว่านั่นคือองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง ทั้งยังประกอบสร้างตัวตนของเขาได้อย่างน่าสนใจ

 

 

นับเฉพาะความสนใจเรื่องดนตรีของเบสท์เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร

     ถ้าความชอบอย่างเดียวตั้งแต่อนุบาลเลยครับ ชอบร้องเพลงเลียนแบบชาวบ้าน เวลาอยู่บนรถกับแม่ เลียนแบบวง XYZ, พี่ปาล์มมี่, พี่อี๊ด วง Fly แล้วร้องมาเรื่อยๆ เป็นคนชอบโวยวาย ชอบระบายอารมณ์ด้วยการร้องเพลง จน ม.5 มีเพื่อนที่ทำวงดนตรีชวนไปร้องเพลง เข้าทางเลย เพราะอยากร้องมานานแล้ว แต่จะให้ไปเสนอตัว เฮ้ย มึงเรียกกูหน่อย ก็ยังไงๆ อยู่ (หัวเราะ)

     ฝึกร้องเองมั่วๆ มาเรื่อยๆ ฝึกเล่นกีตาร์เพิ่ม รู้สึกเวลากลับไปฝึกร้องเพลงในห้องน้ำหรือในโอ่ง มันจะจั๊กจี้ โล่งๆ แปลกๆ เลยหาอะไรมาเล่น ได้สกิลเล่นกีตาร์มาเพิ่ม พอเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ตั้งวงดนตรีแล้ว แต่ยังร้องเพลงบ่อยๆ เวลารวมกลุ่มกับเพื่อนเมื่อไรก็แหกปากเหมือนเดิม ยังชอบร้องเพลงอยู่ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ร้องเพลงแบบจริงจัง ไลฟ์เฟซบุ๊ก ‘โวยวายให้หายเบื่อ’ นั่นก็เกิดขึ้นมาเพราะอยากร้องเพลงตลอดเวลาเหมือนกัน

     จนพี่พล (คชภัค ผลธนโชติ – ผู้บริหารค่าย BOXX Music) เห็น เลยฝากน้องอิ้งค์ (วรันธร เปานิล) มาติดต่อ แล้วเรียกผมเข้าไปถามว่าชอบฟังเพลงแบบไหน ถ้าเป็นศิลปิน อยากเห็นตัวเองในโพสิชันแบบไหน ผมรีบบอกเขาไปหมดเลย (หัวเราะ) คุยกันประมาณ 2 เดือน ค่อยๆ ปรับจูนความต้องการของผมกับค่ายให้ตรงกันจนลงตัวแล้วค่อยลุยทำเพลง

 

 

ตัดสินใจยากไหมที่จะออกจากพื้นที่ปลอดภัยในการแสดงมาสู่วงการดนตรีที่แทบไม่รู้จักมาก่อน

     ตัดสินใจไม่ยาก เพราะเป็นสิ่งที่อยากทำมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว สิ่งที่ยากคือการหาตัวตนในเพลงของผมมากกว่า ผมคิดว่าฟังเพลงเยอะนะ แต่ฟังแบบงงๆ ฟังไปเรื่อย ทำให้ไม่รู้ว่าควรวางโพสิชันตัวเองแบบไหนในการทำเพลง เลยต้องคุยกับทีมงานของ Boxx Music อยู่พักใหญ่ สุดท้ายมาจบตรงสิ่งที่คุ้นที่สุดคือเล่นกีตาร์ไปด้วย ร้องเพลงไปด้วยมาใช้ดีกว่า แนวเพลงให้เป็นป๊อปๆ แมสๆ ไปเลย แค่เริ่มต้นนะ ตอนหลังอยากพัฒนาดนตรีให้มากขึ้น แต่ตอนนี้อยากให้ขายได้ก่อน เพราะชีวิตต้องกินข้าว (หัวเราะ)

     ถือว่าผมจริงจังเหมือนกันนะ ไม่ได้คิดว่าเป็นนักแสดงที่มาทำเพลงเล่นๆ อย่างที่บอกว่าเป็นความฝันมาตั้งแต่เด็ก พอมีโอกาสแล้วอยากทำให้เต็มที่ ให้เป็นอีกพาร์ตหนึ่งของชีวิตจริงๆ ไปเลย

 

พลเคยบอกว่าศิลปินของ Boxx Music ต้องมีของของตัวเองมาเสนอทุกครั้งที่ประชุมงาน เบสท์เอาอะไรไปเสนอเขาบ้าง ก่อนกลายมาเป็นเพลง ‘ลองดี’ แบบที่ได้ฟังกันตอนนี้

     พยายามหาเรื่องใกล้ตัวที่เวลาร้องออกไปแล้วจะไม่เขินมาก เพราะฉะนั้นต้องเป็นเรื่องที่ตรงกับความรู้สึกจริงๆ ที่คิดออกชัดที่สุดคือเรื่องแฟน เพราะเขาอยู่กับเราทุกวัน อยากเอาเรื่องของเขามาเล่าเป็นเพลงเพื่อขอโทษและขอบคุณเขาไปพร้อมๆ กัน ประมาณว่า ‘ขอโทษที่เคยเลว แต่ยังไงก็รักนะจ๊ะ’ ถ้าพูดเฉพาะเนื้อเพลงนี่เอามาจากตัวผมเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์เลยนะ

 

 

ถ้าดูจากเนื้อเพลง แสดงว่าทำให้แฟนหนักใจเยอะเหมือนกัน

     ผมว่าผมเห็นแก่ตัวเวลาอยู่กับเขา อย่างเวลากินข้าว ผมเป็นคนดีนะ จะถามก่อนว่าอยากกินอะไร แต่ถ้าเขาเลือกมาไม่ตรงกับที่ผมคิด ผมก็จะบอกว่าไม่กินอันนี้ แล้วไปกินอีกอันได้ไหม (หัวเราะ) เรื่องเล็กๆ นะ แต่ผมรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวมากเลย เวลาดูหนัง บางทีเขาอยากดูการ์ตูนแบ๊วๆ แต่ผมพาไปดูอะไรไม่รู้ที่เขาหลับ เป็นแบบนี้ตลอด แต่เขายังไปกับเรา ยิ่งเขาตามใจ ยิ่งรู้สึกว่าเขาดีกับเรามาก แต่เพราะเรื่องเล็กๆ พวกนี้แหละที่ทำให้ผมละเลยทีละเล็กทีละน้อย แต่พอสะสม บางทีก็กลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขา จริงๆ ผมรู้ตัวนะ แต่กลายเป็นสันดานที่ทำจนเคยชินไปแล้ว เลยรู้สึกว่าถ้าทำเพลงออกมาทั้งขอโทษและขอบคุณไปพร้อมๆ กันได้น่าจะตรงที่สุด

 

 

แล้วตอบแทนความดีของเขาอย่างไรบ้าง

     เรื่องดีๆ มีแหละ แค่ไม่ได้ฟรุ้งฟริ้งเหมือนในเอ็มวี ผมไม่ค่อยทำเซอร์ไพรส์ แต่จะพาไปเที่ยวทุกที่ ตั้งแต่ปีแรกๆ ที่คบกัน วันครบรอบกับวันเกิดของผมใกล้กัน เลยรวบสองวันนี้ ถือโอกาสพาตัวเองและเขาไปเที่ยวด้วยในสถานที่ต่างๆ จริงๆ คือข้ออ้างที่เราขี้เกียจหาซื้อของนั่นแหละ (หัวเราะ) ล้อเล่นๆ ผมว่าการพาเขาออกไปเจออะไรใหม่ๆ มันมีค่ามากกว่าให้ของนะ

 

ชอบร้องเพลงตลอดเวลาแบบนี้น่าจะร้องเพลงให้แฟนฟังบ่อยหรือเปล่า

     ร้องสิครับ ร้องจนเขาไม่อยากฟังแล้ว (หัวเราะ) ผมร้องเพลงตลอดเวลาจริงๆ ขับรถก็ร้อง คุยโทรศัพท์กัน อยู่ดีๆ ไปหยิบกีตาร์มาร้องดื้อๆ เลย ไม่ได้ร้องเพลงจีบหรือเพลงหวานๆ ด้วยนะ อยากร้องอะไรก็ร้อง หรือถ้าต้องซ้อมเพลงไหนก็เล่นขึ้นมาเลย เล่นเสร็จถามว่า เพราะหรือเปล่าวะ แล้วร้องต่อ (หัวเราะ) โคตรละเลย เขาน่าจะเป็นคนแรกที่ได้ยินผมเล่นกีตาร์ด้วยมั้ง ตอนนั้นคงคิดว่าโอเคจังเลยแหละ แต่ตอนนี้เวลามันเปลี่ยนไปแล้ว (หัวเราะ)

 

 

บรรยากาศในห้องอัดเป็นอย่างไรบ้าง ความฝันที่เรารอคอยมานาน ทุกอย่างเป็นอย่างที่คิดเลยไหม

     ฮายับเลยครับ โดยเฉพาะพี่พลกับพี่ยักษ์ (อนันต์ ดาบเพ็ชรธิกรณ์ – มือกลองวง Clash) เล่นมุกกันตลอด ไม่เห็นรู้สึกเครียดแบบที่มีคนเคยบอกเลย สนุกมาก เพลงนี้ผมต้องร้องและคอรัสเองทั้งหมดด้วย ดีใจที่ความฝันใกล้เป็นจริง การเป็นนักดนตรีสนุกดีเหมือนกัน

     ตอนแรกผมพยายามอัดกีตาร์เองด้วยนะ แต่สุดท้ายไม่ไหว เพราะไม่ได้เซียนขนาดนั้น ให้พี่พลจัดการให้ดีกว่า แต่เสร็จแล้วผมกลับมาแกะเองนะครับ เออ แกะกีตาร์เพลงตัวเองนี่แหละ (หัวเราะ) จริงๆ ขอแท็บกีตาร์เขาได้ แต่อยากลองทำเอง อยากเล่นให้คล่อง ผมอัดกีตาร์เองไม่ได้ แต่อย่างน้อยตอนเล่นสดให้ออกมาดีหน่อยแล้วกัน

     จนงานแรกไปเล่นที่ Play Yard (คอนเสิร์ต Mr. Strangers) โคตรสนุกเลย เหมือนได้เห็นตัวเองเป็นเด็กอีกครั้ง ผมไม่ได้ขึ้นเวทีมานานมาก ชอบการขึ้นเวที จากที่เด็กๆ เคยแค่ฝัน วันนั้นเรามีเพลงของเราจริงๆ เฮ้ย กูทำได้แล้วว่ะ ได้ขึ้นมายืนบนเวทีของเราจริงๆ แล้วกลายเป็นความภูมิใจที่อยากทำต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งอินกับการทำดนตรีขึ้นไปอีก เพราะทำให้เรามีความสุข และทำให้คนอื่นมีความสุขไปได้ด้วย

 

 

ตอนนี้นอกจากความรักแบบในเพลง มีอะไรอีกบ้างที่รู้สึกว่าอยาก ‘ลองดี’ มากที่สุด

     ก่อนหน้านี้เวลาทำงาน ผมคิดถึงแต่ตัวเองมาตลอด คิดว่าทำงานมาแล้วได้ผลตอบแทนมาทำให้เราจะต้องไปให้คนอื่น นี่คือผลงานของเรา แต่ช่วงหลังๆ พอรู้สึกว่าเราน่าจะทำได้มากกว่านั้น เริ่มมีความคิดอยากทำอะไรที่เปลี่ยนแปลงอะไรในสังคมแง่ใดแง่หนึ่ง อย่างพี่ตูน Bodyslam (อาทิวราห์ คงมาลัย) ที่วิ่งเพื่อทำอะไรบางอย่าง ตอนนี้ผมเริ่มมีความรู้สึกแบบนั้น คงไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดพี่ตูน อาจจะเริ่มจากไปร้องเพลงให้น้องๆ หรือใครที่ขาดแรงบันดาลใจมากๆ ไปพูดหรือทำอะไรก็ได้เพื่อกระจายความคิดบางอย่างให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้น ผมคิดจริงๆ นะว่าถ้าคนมีความสุข แล้วเขาเปลี่ยนแปลงอะไรก็ได้ อย่างน้อยหนังหรือเพลงที่ผมเล่นอาจจะพอช่วยได้บ้าง

 

ถ้า ‘ลองไม่ดี’ ล่ะ มีเรื่องไหนบ้างไหมที่รู้สึกว่าไม่น่าทำลงไปเลย

     ผมลองทำอะไรที่ไม่ดีมาเยอะนะ น่าจะออกสื่อไม่ได้ด้วย (หัวเราะ) แต่ผมไม่เคยเสียดายเรื่องในอดีตเลย เรื่องนี้เป็นอย่างหนึ่งที่ผมชอบตัวเองเหมือนกันนะ ผมชอบลองทุกอย่างเวลามีโอกาสเข้ามา บางอย่างกลัวนะ อย่างร้องเพลงก็ไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ถ้ามีคนมองเห็น มีโอกาสเข้ามา ผมจะคว้าไว้เลย โอกาสพวกนี้ถ้าเด้งมาแล้วมันหายไปเลยนะ ถ้าไม่ลองตั้งแต่ตอนนั้น

     ตอนปี 3 เคยมีคนให้ไปทำงานเป็นผู้ช่วยผู้กำกับ 2 ผมทำไม่เป็น แต่บอกเขาว่าทำได้ ขอไปครับพี่ ไปฝึกงานครีเอทีฟที่โอกิลวี่ฯ ก็ลอง เคยไปออดิชันงานหนึ่งที่ต้องเต้น ผมไม่เคยเต้นเลยก็ลอง แล้วทีมงานเขาชอบ เลยได้ทำ ผมชอบตัวเองตรงนี้แหละที่อยากลองทำทุกอย่าง กล้าทำทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิด อย่างน้อยถ้าทำผิดเดี๋ยวมีคนบอกเราเอง แล้วใช้จุดนั้นพัฒนาตัวเองต่อไป

 

 

เรื่องแย่ที่สุดที่เคยลอง

     ตอนเรียนมัธยมครับ ผมแม่งเรียนโคตรเหี้ยเลย แล้วผ่านมาหมดทุกอย่าง เข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งก็ไม่ตั้งใจเรียน ติด F สองตัว เกรดเฉลี่ย 2.00 และกลายเป็นเรื่องที่ทำให้ผมรู้ว่าต้องตั้งใจมากขึ้นแล้ว ตอนปี 2 ก็ตั้งใจเรียนมากขึ้นจนเกรดขึ้นมาเป็น 3.5 อย่างที่บอกว่าเรื่องที่ผ่านมา มันกลายเป็นเกราะที่ทำให้ผมรู้ว่าอนาคตผมต้องทำตัวยังไง เรื่องอะไรที่เคยแย่มากๆ เราบอกตัวเองได้ว่าจะไม่ทำมันอีกแล้ว

 

ถ้าทีมงานของ Boxx Music มาบอกว่าเพลงต่อไปต้องเต้นล่ะ

     พี่กล้าไหมล่ะ (หัวเราะ) ถ้าพี่มองว่าโอเค ผมก็เอานะ ลองได้เลย แต่จะออกมาเป็นยังไงผมไม่รู้นะ (หัวเราะ)

 

FYI
  • เวทีแรกของเบสท์คือการร้องเพลงวันแม่เป็นภาษาจีนในงานโรงเรียนตอน ป.3 และเวทีงานเลี้ยงปีใหม่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งกับเงินรางวัล 200 บาท คือครั้งที่เบสท์ดีใจมาก เพราะรู้ว่าการร้องเพลงทำเงินได้จริงๆ
  • วงดนตรีตอน ม.5 ของเบสท์มีชื่อว่า Ribbon Band ที่ได้มาจากชื่อผู้หญิงคนหนึ่งใน Hi5 ที่เบสท์เห็นว่าน่ารัก เลยยืมชื่อเขามาตั้งชื่อวง โดยที่ทุกวันนี้ผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
  • ในวันคอนเสิร์ตของโรงเรียนครั้งหนึ่ง หลังจากเบสท์ร้องเพลงที่สองจบก็ถูกครูฝ่ายปกครองเรียกลงมาตัดผมท่ามกลางนักเรียนและนักดนตรีจากต่างโรงเรียนที่ยืนดูอยู่เต็มไปหมด
  • เบสท์เป็นเด็กชอบเข้าเรียนสาย ถึงขนาดไม่ต้องโดนทำโทษให้เข้าแถวหรือสวดมนต์อีกรอบ เพราะเวลาเข้าเรียนของเบสท์คือ 10 โมง ที่เพื่อนๆ ขึ้นเรียนกันหมดแล้ว เทคนิคของเบสท์คือในขณะที่คนอื่นปีนเข้าโรงเรียนจากประตูหลัง เบสท์เลือกปีนเข้าทางประตูหน้า เพราะอาจารย์จะไปดักที่ประตูหลังกันหมด
  • เบสท์ถูกเชิญผู้ปกครองแทบทุกปีด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป
  • เบสท์เลือกเข้าชมรมพระพุทธศาสนาตอน ม.ปลาย และใช้เวลาคาบนั้นในการพาเพื่อน 10 คนมาแบ่งเป็นทีมละ 5 คน เพื่อทำสงครามบนโลกออนไลน์ในเกม DotA
  • ตอน ม.6 เบสท์ค้นพบอีกตัวตนหนึ่งที่ชื่นชอบ คือย้ายไปอยู่ชุมรมเชียร์ และทุ่มเทกับการเป็นฝ่ายใช้แรงงานเพื่อสร้างสแตนด์แปรอักษร เขาเคยถูกรุ่นพี่ผลักดันให้เป็นผู้นำเชียร์ เรื่องบุคลิกเบสท์ผ่านฉลุย แต่เพราะพฤติกรรมที่เคยสั่งสมไว้ ทำให้ถูกอาจารย์ปลดออกในที่สุด
  • เรื่องเซอร์ไพรส์ที่สุดในชีวิตที่เบสท์ทำให้แฟนคือการซื้อดอกไม้กับเค้กก้อนใหญ่ไปให้แฟนหน้าห้องเรียนตอนปีหนึ่ง แต่ความรักย่อมมีอุปสรรค เขาถูกตำรวจเรียกตัว เพราะไม่ได้ใส่หมวกกันน็อก จนเดือดร้อนเพื่อนต้องถ่วงเวลาแฟนไว้อยู่นาน
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X