ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติเตือน ‘คริปโต’ มีมูลค่าไม่คงที่ หลังคลังเตรียมออก ‘สเตเบิลคอยน์’ มูลค่าหมื่นล้าน พร้อมเตือนเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตต่ำกว่า 2.9% ในปี 2568 เหตุเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2567 อ่อนแอเกินคาด แม้ว่าในช่วงเวลาดังกล่าวรัฐบาลจะมีโครงการแจกเงินหมื่นเฟสแรกก็ตาม
Reuters รายงานว่า ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า คริปโตเคอร์เรนซีต่างๆ ขาดคุณสมบัติ ‘ความคงที่ทางมูลค่า’ พร้อมย้ำว่าเทคโนโลยีของสกุลเงินดิจิทัลต่างๆ ยังไม่สามารถรองรับธุรกรรมจำนวนมากๆ ได้ (Scalable) ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะระบบชำระเงินที่กระจัดกระจาย (Fragmented Payment System) สะท้อนถึงความลังเลของ ธปท. ในการให้การสนับสนุนโครงการออกสเตเบิลคอยน์ของรัฐบาล
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติกล่าวในการสัมภาษณ์กับ Reuters อีกว่า PromptPay ของไทยที่มีอยู่ในปัจจุบันทำงานได้ดี ดังนั้นการจะสร้างระบบการชำระเงินเพิ่มจะต้องเห็นประโยชน์การใช้งานหรือข้อดีเพิ่มเติมอย่างชัดเจน เนื่องจากการเปลี่ยนไปใช้ระบบดังกล่าวยังมีความเสี่ยงด้านลบ
“ผมเข้าใจว่าแรงผลักดันเหล่านั้นมาจากไหน แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาเราก็เห็นแรงผลักดันในเรื่องนี้” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ‘คลัง’ จ่อออก Stablecoin ใหม่ 1 หมื่นล้านบาท พร้อมตั้งแพลตฟอร์มเทรดใหม่ ส่วนเฟสต่อไปเตรียมเปิดให้ Stablecoin ใช้ซื้อสินค้าได้ด้วย
- เตือนหากรัฐบาลต้องการออกสเตเบิลคอยน์ ต้องศึกษารอบด้าน ป้องกันการฟอกเงิน-ภาวะเงินกลายเป็นกระดาษ
- คลังเผย ‘เงินหมื่น’ เฟส 1 มูลค่า 1.4 แสนล้าน กระตุ้น GDP ได้ 0.3% ตามคาด ลุ้นเศรษฐกิจไทยปี 2568 ขยายตัว 3.5%
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเมื่อปลายปีก่อน ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำเสนอแนวคิดการอนุญาตใช้บิทคอยน์ในการชำระสินค้าและบริการ โดยใช้ภูเก็ตเป็นพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ รวมทั้งการออกสเตเบิลคอยน์ที่ค้ำประกันด้วยพันธบัตรรัฐบาล โดยหวังจะใช้การออกสเตเบิลคอยน์เพิ่มเม็ดเงินไหลเวียนในเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเติบโต
โดยวานนี้ (30 มกราคม) พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาการออกสเตเบิลคอยน์ที่มีพันธบัตรรัฐบาลเป็นสินทรัพย์ค้ำประกัน มูลค่าประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ให้มีการซื้อขายกันในตลาดรอง ก่อนจะพัฒนาให้เป็นสเตเบิลคอยน์ สามารถนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการได้ทั่วไปในอนาคต
เศรษฐกิจไทยเสี่ยงขยายตัวต่ำกว่า 2.9% ในปีนี้
ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติกล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีความเสี่ยงขยายตัวน้อยกว่า 2.9% สวนทางกับมุมมองของกระทรวงการคลังที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3% และมีโอกาสจะขยายตัวมากกว่ากรณีฐานค่อนข้างมาก
“ผมต้องบอกว่าตัวเลขดังกล่าวมีความเสี่ยงด้านลบอยู่บ้าง” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
เมื่อกล่าวถึงเศรษฐกิจไทยปี 2567 ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติประเมินว่าอาจขยายตัวใกล้เคียง 2.7% เนื่องจากเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายเติบโตน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยอยู่ที่ 3% กว่าๆ เนื่องมาจากการบริโภคที่อ่อนแอหนักกว่าที่คาดไว้
“ผลของเงินช่วยเหลือและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีน้อยกว่าที่เราคาดไว้ โดยเงินช่วยเหลือที่ออกไปบางครั้งก็ถูกนำไปใช้ชำระหนี้และอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่เห็นการส่งผ่านไปที่การบริโภค” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าว
การให้สัมภาษณ์ของ ดร.เศรษฐพุฒิ ครั้งนี้เป็นการพูดถึงแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกของปีนี้ รวมไปถึงประสิทธิผลของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาล
ทั้งนี้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาลแบ่งเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรกแจกให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและผู้พิการจำนวนกว่า 14 ล้านคน เป็นเงินกว่า 1.4 แสนล้านบาท ส่วนระยะที่ 2 แจกให้ผู้สูงอายุจำนวนราว 3 ล้านคน เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตระยะที่ 3 รัฐบาลไทยเตรียมเปิดตัวในเดือนเมษายนนี้
ยืนยันอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ‘เหมาะสม’
ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวว่า จุดยืนนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเป็นกลาง (Broadly Neutral Stance) และมีความเหมาะสม เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ แล้ว พร้อมยืนยันว่าธนาคารกลางและคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนนโยบาย หากปัจจัยต่างๆ มีความเปลี่ยนแปลง
เมื่อเดือนที่แล้ว กนง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 2.25% โดยการประชุมครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้
ดร.เศรษฐพุฒิ คาดว่า ในปีนี้อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย 1-3% เทียบกับการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 0.40% ในปี 2567 พร้อมทั้งมองว่าเป้าหมายเงินเฟ้อปัจจุบันนั้นใช้ได้ผลดี แม้ว่ารัฐบาลต้องการให้อัตราเงินเฟ้อไทยเพิ่มขึ้นถึงค่ากลาง 2% ก็ตาม
“ผมขอโต้แย้งว่า การพยายามมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายเชิงตัวเลขที่เฉพาะเจาะจงมากเกินไปนั้นอาจส่งผลเสียที่ไม่ได้ตั้งใจ” ดร.เศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ธนาคารกลางต้องการให้เงินเฟ้อโดยรวมอยู่ที่ระดับต่ำ และยังยืนยันว่าไม่เห็นสัญญาณของภาวะเงินฝืดในประเทศไทย
จับตาผลกระทบ ‘ทรัมป์’
แม้การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น แต่ ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบต่อไทย พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 237,000 ล้านดอลลาร์เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา นับเป็นความแข็งแกร่งและเสถียรภาพในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง
ภาพ: Funtap / Shutterstock
อ้างอิง: