จากข้อมูลของ Immunefi เผยว่า ในไตรมาส 3/23 ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น นักลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีเสียเงินกว่า 686 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท จากการโดนแฮ็กและฉ้อโกง มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ 428 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 15,000 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว 59%
มูลค่าการแฮ็กดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 55.7% จากช่วงไตรมาส 1/23 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 158.2% จากช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ในขณะที่จำนวนเหตุการณ์การแฮ็กในไตรมาส 1 ของปีนี้อยู่ที่ 73 ครั้ง ก่อนที่จะลดลงเหลือ 63 ครั้งในไตรมาสที่ 2 และขึ้นมาแตะจุดสูงสุดที่ 76 ครั้งในไตรมาสล่าสุด
โดยการแฮ็กที่เกิดขึ้นบน Mixin Network และ MultiChain คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนที่โดนแฮ็กไปในไตรมาส 3 ปีนี้ อยู่ที่ราว 326 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 11,140 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในไตรมาส 1/23 เงินกว่า 40.5% ที่ถูกแฮ็กไป สามารถตามคืนได้ในท้ายที่สุดผ่าน Euler Finance และ Sperax USD ในขณะที่ไตรมาส 3/23 อัตราการเรียกคืนเงินได้อยู่ที่เพียง 61 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,135 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 8.9% ของเงินที่ถูกแฮ็กเท่านั้น
จากรายงานของ Immunefi ยังพบว่ากลุ่มแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ Lazarus Group คือผู้อยู่เบื้องหลังการแฮ็กในไตรมาส 3/23 มูลค่าถึงกว่า 208 ล้านดอลลาร์ หรือราว 7,280 ล้านบาท คิดเป็น 30% ของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนักลงทุนในไตรมาส 3/23
โดยกลุ่มของ Lazarus ถูกมองว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการแฮ็กในหลายๆ ครั้ง เช่น CoinEx, Alphapo, Stake และ CoinsPaid
จากข้อมูลยังพบว่า ในไตรมาส 3 การแฮ็กที่เกิดขึ้นบน DeFi (Decentralized Finance) คิดเป็นสัดส่วนถึงกว่า 72.9% ในขณะที่ CeFi (Centralized Finance) คิดเป็นสัดส่วนเพียง 27.1% เท่านั้น
และ Ethereum, BNB Chain และ Base Blockchain (ได้รับการสนับสนุนจาก Coinbase) เป็นเครือข่ายที่โดนเพ่งเล็งจากเหล่าแฮกเกอร์มากที่สุด
ไม่เพียงเท่านั้น จากข้อมูลของ Immunefi ยังพบว่าการทำ ‘Airdrop Farming’ หรือวิธีการหาเงินของเหล่านักลงทุนโดยการไปล่า ‘Airdrop’ (เหรียญคริปโตที่แจกโดยแพลตฟอร์มต่างๆ) เป็นหนึ่งในเป้าการแฮ็กของเหล่าแฮกเกอร์อีกเช่นกัน
อ้างอิง: