Voyager Digital บริษัทโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัล ได้ยื่นเอกสารแจ้งผิดนัดชำระหนี้ต่อกองทุน Three Arrows Capital หรือ 3AC เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (27 มิถุนายน) หลังทางกองทุนไม่สามารถชำระเงินกู้คิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 670 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแบ่งเป็นบิทคอยน์ จำนวน 5,250 บิทคอยน์ (BTC) มูลค่าราว 323 ล้านดอลลาร์สหรัฐ กับอีก 350 ล้านดอลลาร์ด้วย USDC ได้ตามเวลาที่กำหนด
ทั้งนี้ทาง Voyager ระบุว่า เป้าหมายของบริษัทขณะนี้ก็คือการเดินหน้าดำเนินการให้ทาง 3AC ชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการพูดคุยหารือกับทีมที่ปรึกษาทางกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าระหว่างนี้ทางแพลตฟอร์มจะยังคงให้บริการคำสั่งซื้อขายและการถอนเงินให้กับลูกค้าตามปกติ นับเป็นความพยายามที่หลายฝ่ายมองว่า Voyager ต้องการระงับความกลัวและกังวลของนักลงทุนว่าการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้จะลุกลามระบบนิเวศคริปโตในวงกว้างมากขึ้น
Stephen Ehrlich ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Voyager ย้ำว่า บริษัทกำลังดำเนินการอย่างเข้มข้นและรวดเร็วเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับงบดุลและดำเนินการตามทางเลือกต่างๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการด้านสภาพคล่องของลูกค้าได้ต่อไป
ปัจจุบัน Voyager ถือครองเงินสดอยู่ราว 137 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และถือสินทรัพย์ดิจิทัลไว้ในครอบครอง รวมถึงสามารถเข้าถึงเงินสดมูลค่า 200 ล้านดอลลาร์ในสินทรัพย์ USDC ที่เคยเปิดเผยก่อนหน้านี้ ตลอดจนการถือครองบิทคอยน์อีกกว่า 15,000 BTC ที่จัดหาโดย Alameda Ventures
ก่อนหน้านี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Alameda (บริษัทการค้าเชิงปริมาณของ Sam Bankman-Fried ผู้ก่อตั้ง FTX) ได้ให้เงิน 500 ล้านดอลลาร์แก่ Voyager ซึ่งทาง Voyager ได้จัดการดึงเงินมูลค่า 75 ล้านดอลลาร์จากเงินก้อนที่ได้รับมาดังกล่าวเพื่อรักษาสภาพคล่อง ขณะที่แถลงการณ์ของบริษัทชี้ชัดว่า การผิดนัดของ 3AC ไม่ได้ทำให้เกิดการผิดนัดในข้อตกลงกับ Alameda แต่อย่างใด
ทั้งนี้ วิกฤตของ 3AC เกิดขึ้นหลังจากที่มูลค่าการซื้อขายในตลาดคริปโตหายไปหลายร้อยพันล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยราคา Bitcoin และ Ethereum มีการซื้อขายที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยขณะนี้มูลค่าตลาดรวมของคริปโตอยู่ที่ประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากประมาณ 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นช่วงที่ราคา Bitcoin ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพฤศจิกายน 2021
วันเดียวกันมีรายงานว่า ด้วยสถานการณ์ของตลาดคริปโตในปัจจุบัน บีบให้บรรดานักขุดบิทคอยน์ทั้งหลายควักเงินดิจิทัลออกขายเพื่อขายในตลาด หลังราคาสินทรัพย์ดิจิทัลลดลง ต้นทุนพลังงานสูงขึ้น และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น
นักวิจัยจาก Macro Hive พบว่า จำนวนผู้ขุดเหรียญที่เทขายเหรียญบนแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่า ‘นักขุดมีการเพิ่มสภาพคล่องให้กับเหรียญคริปโตบนแพลตฟอร์มซื้อขายแลกเปลี่ยนมากขึ้น’
ขณะที่ทางนักวิเคราะห์ของทาง Arcane Research พบว่า หลังราคาบิทคอยน์ร่วงลง 45% บรรดานักขุดบิทคอยน์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งเทขายบิทคอยน์รวมกันมากกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตทั้งหมดที่ขุดได้ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
Jaran Mellerud นักวิเคราะห์ของ Arcane กล่าวว่า การทำกำไรที่ลดลงของการขุด ทำให้นักขุดเหล่านี้เพิ่มอัตราการขายของตนเองเป็นมากกว่า 100% เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตในเดือนพฤษภาคม ซึ่งสถานการณ์มีแนวโน้มทวีความเลวร้ายมากขึ้นในเดือนมิถุนายน ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะขายได้มากขึ้น
นอกจากปัญหาเรื่องราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดที่ลดลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงแล้ว ราคาพลังงานที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นยังส่งผลกระทบต่อเหล่านักขุดบิทคอยน์ด้วยเช่นกัน โดยมีนักขุดส่วนหนึ่งประเมินว่าการขุดของตนใช้ไฟฟ้ามากกว่าฟิลิปปินส์ทั้งประเทศ ยังไม่นับรวมการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้นในตลาด และราคาค่าอุปกรณ์ในการขุดซึ่งมีมูลค่ามหาศาล
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งมองว่า หากนักขุดบิทคอยน์สามารถประคองตัวต่อไปได้ก็จะได้รับผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อกลับมาในท้ายที่สุด เพราะการขุดบิทคอยน์เป็นเกมที่ต้องมีผลแพ้-ชนะ หากคนใด้คนหนึ่งสามารถวิ่งต่อไปได้ในขณะที่คนอื่นทำไม่ได้ แสดงว่าคนคนนั้นจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้น
อ้างอิง: