ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate (WTI) ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 9.09% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์ที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 จากความกังวลว่าอิสราเอลอาจโจมตีแหล่งน้ำมันดิบของอิหร่าน เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยขีปนาวุธของอิหร่าน
ขณะที่น้ำมันดิบเบรนต์เพิ่มขึ้น 8.43% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายสัปดาห์ที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2023
Daan Struyven นักวิเคราะห์น้ำมันอาวุโสจาก Goldman Sachs กล่าวว่า ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้น 10-20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หากอิสราเอลโจมตีและทำให้การผลิตน้ำมันของอิหร่านลดลง 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็นระยะเวลานาน
หากสมาชิกสำคัญของ OPEC+ เช่น ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สามารถชดเชยการสูญเสียการผลิตบางส่วน ตลาดน้ำมันอาจได้รับผลกระทบที่น้อยลง โดยราคาน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นไม่ถึง 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบ ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นประมาณ 5% ในวันพฤหัสบดี (3 ตุลาคม) หลังจาก โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ กำลังหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่อิสราเอลจะโจมตีอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม ไบเดนชี้แจงเพิ่มเติมในวันศุกร์ (4 ตุลาคม) โดยกล่าวว่า ไม่สนับสนุนให้อิสราเอลโจมตีแหล่งน้ำมัน
“อิสราเอลยังไม่ได้สรุปว่าพวกเขาจะทำอย่างไรกับการโจมตี ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา” ไบเดนกล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวที่ทำเนียบขาว “ถ้าผมอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ผมจะคิดหาทางเลือกอื่นแทนการโจมตีแหล่งน้ำมัน”
อย่างไรก็ตาม หากมองภาพกว้างกว่านั้น ราคาน้ำมันดิบเพิ่งจะพุ่งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี เนื่องจากความต้องการที่อ่อนแอจากจีน และแผนการของกลุ่มผู้ผลิต OPEC+ ที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
ตั้งแต่เกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับฮามาสเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมของปีที่แล้ว มีการหยุดชะงักของตลาดน้ำมันเพียงเล็กน้อย ราคายังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน เนื่องจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสหรัฐฯ และความต้องการที่ซบเซาจากจีน
ศูนย์วิจัย BMI ของ Fitch Solutions ระบุว่า ในกรณีของสงครามเต็มรูปแบบ ราคาน้ำมันดิบ เบรนต์อาจพุ่งขึ้นเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และหากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซอาจทำให้ราคาพุ่งสูงกว่า 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
แม้ว่าความเป็นไปได้ของสงครามเต็มรูปแบบยังคงอยู่ในระดับ ‘ค่อนข้างต่ำ’ แต่ความเสี่ยงจากความผิดพลาดของทั้งสองฝ่ายก็เพิ่มสูงขึ้น นักวิเคราะห์ของ BMI ระบุ
อ้างอิง:
