×

แผลเก่าที่ไม่เคยตกสะเก็ด วิกฤตความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

24.11.2025
  • LOADING...
แผลเก่าที่ไม่เคยตกสะเก็ด วิกฤตความสัมพันธ์ ไทย-กัมพูชา

“คำว่า ‘ข้อมูล’ เราหมายถึงความรู้ทั้งหมดที่เรามีเกี่ยวกับข้าศึกและประเทศของพวกเขา เพราะฉะนั้น ข้อมูลนี้จะเป็นรากฐานของความคิดและการกระทำของฝ่ายเราทั้งหมด
……

 

ความยากของการมองเห็นสิ่งต่างๆ ให้ได้อย่างถูกต้องนั้น … คือ การทำให้เรามองเห็นสิ่งเหล่านั้น แตกต่างไปจากสิ่งที่เราคาดหวังเอาไว้”

Carl von Clausewitz
On War

 

เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาขยายตัวไปสู่ระดับของการใช้กำลังทหารในตอนปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะหวนกลับไปหยิบหนังสือเรื่อง “On War” ของฟอน เคลาซวิทซ์ กลับมานั่งเปิดอ่านเล่นๆ อีกครั้ง แม้ต้นฉบับหนังสือจะตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1832 หลังจากการเสียชีวิตของเขา แต่มุมมองและประเด็นในการนำเสนอ ยังทำให้คนรุ่นหลังอย่างผมที่ต้องคิดและสนใจเรื่องสงครามนั้น ไม่ได้รู้สึกว่าหนังสือเก่าไปกับปีที่ตีพิมพ์เลย

 

 

หากพิจารณาในมุมมองทางรัฐศาสตร์และยุทธศาสตร์แล้ว ความขัดแย้งและการใช้กำลังรอบนี้มีประเด็นให้ผู้ที่สนใจต้องหยิบไปวิเคราะห์/ถกแถลงได้ในหลายเรื่อง

 

ขณะเดียวกัน ก็อดที่จะหยิบบทที่ 6 เรื่อง “ข้อมูลในสงคราม” (Information in War) ของหนังสือในบรรพที่ 1 มาเป็นคำเปิดประเด็นสำหรับบทความนี้ไม่ได้ เพราะข้อความข้างต้นน่าจะเป็นข้อเตือนใจ ช่วยเราในการพิจารณาในการมองการดำเนินนโยบายของฝ่ายไทยเราด้วย

 

การแข่งขันทางยุทธศาสตร์

 

ความที่กัมพูชาเป็นรัฐเพื่อนบ้านที่มีเส้นเขตแดนร่วมกับไทยนั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนของการมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาอย่างยาวนาน แน่นอนว่า ก่อนความเป็น “รัฐประชาชาติ” (Nation-State) หรือ “รัฐสมัยใหม่” (Modern State) จะถือกำเนิดขึ้นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ชนชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่แถบนี้ ล้วนมีความสัมพันธ์กันมาอย่างยาวนานในทางชาติพันธุ์

 

ความสัมพันธ์เช่นนี้ในระยะต่อมาเมื่อหน่วยทางการเมืองก่อตัวขึ้น จึงปรากฏทั้งในแบบที่เป็น “สงครามและสันติภาพ” ควบคู่กันไป ซึ่งทำให้เกิดตำนาน วาทกรรม เรื่องเล่า ตลอดจนเรื่องราวต่างๆ ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จากยุคสู่ยุค และดำเนินสืบเนื่องจนถึงปัจจุบัน และหลายครั้งที่เรื่องราวเหล่านี้ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของผู้คนในยุคสมัยของเราอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เรามักจะกล่าวเสมอว่า เราเป็นคน “สมัยใหม่” ที่ชีวิตไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับโลกในอดีต

 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็นพื้นที่ดั้งเดิมที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันนั้น ปัญหาใหญ่คงหนีไม่พ้น “สงครามระหว่างราชสำนัก” ของผู้ปกครองทั้งฝ่าย โดยเฉพาะในสมัยของรัฐอยุธยาที่เปิดการรุกทางทหารเข้าไปในดินแดนทางด้านตะวันออก และตามมาด้วยการขยายดินแดนในยุคต้นของรัฐรัตนโกสินทร์ ที่เข้าไปควบคุมพื้นที่ที่ปัจจุบันคือ ลาว และกัมพูชา

 

สภาวะของการอยู่ร่วมกันที่ผ่าน “สงครามและสันติภาพ” มาอย่างยาวนานในบริบททางประวัติศาสตร์นั้น จึงทำให้เกิด “ทัศนะ” (perception) ที่อาจจะเห็นในมุมมองที่แตกต่างกัน และในทางยุทธศาสตร์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในความเป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า หรือเป็นหน่วยการปกครองที่เล็กกว่านั้น ทำให้รัฐอยุธยาและ/หรือรัตนโกสินทร์ที่มีความใหญ่กว่า ย่อมกลายเป็น “ภัยคุกคามด้านความมั่นคง” ต่อความอยู่รอดของรัฐเขมรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และความสัมพันธ์เช่นนี้ในหลายส่วนได้กลายเป็น “แผลเก่า” ในประวัติศาสตร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย เพราะความขัดแย้งในอดีต ไม่ใช่การทำสงครามระยะไกล แต่เป็นความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน

 

ต่อมา เมื่อเกิดการขยายตัวของรัฐมหาอำนาจตะวันตกเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการขับเคลื่อนของ “ลัทธิอาณานิคม” (Colonialism) ที่ต้องการแสวงหาดินแดนในความควบคุม จึงทำให้พื้นที่ของรัฐเพื่อนบ้านที่อยู่รอบตัวของสยามสิ้นสภาพกลายสภาพเป็น “อาฌานิคม” และทำให้ความขัดแย้งดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ในอดีต เช่น สงครามครั้งในยุคอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ได้สิ้นสุดลงตามไป และสภาวะที่อาจเรียกว่าเป็น “สงครามระหว่างราชวงศ์” (Dynastic Warfare) ได้ยุติไปด้วยเช่นกัน [เช่นที่เปรียบเทียบกับแบบแผนสงครามของรัฐยุโรป]

 

ในด้านหนึ่ง การเข้ามาของเจ้าอาณานิคมเป็นผลพวงโดยตรงของ “การแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่” (The Great Power Competition) หรืออาจเรียกอีกมุมว่า “การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของรัฐมหาอำนาจใหญ่ (The Geopolitics of Great Power Competition) คือ การแข่งขันระหว่างจักรวรรดิอังกฤษ ที่ขยายอิทธิพลเข้ามาครอบคลุมจากเอเชียใต้จนถึงเมียนมา และควบคุมคาบสมุทรมลายา กับจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่เข้าควบคุมพื้นที่ของอินโดจีน และส่งผลให้รัฐโบราณของชนพื้นเมืองในพื้นที่ดังกล่าวต้องเปลี่ยนสถานะทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นเพียง “อาณานิคม” ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมหาอำนาจตะวันตก หรือในทางรัฐศาสตร์ พื้นที่เหล่านี้กลายเป็นส่วนต่อขยายของพื้นที่ออกมาจาก “เมืองแม่” ที่เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ

 

การมาของปัจจัยความมั่นคงเช่นนี้ ต้องถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้ปกครองดั้งเดิมของสยาม ที่พื้นที่ในการปกครองยังไม่มีความเป็น “รัฐสมัยใหม่” ขณะเดียวกัน พื้นที่ของสยามก็ถูกโอบล้อมด้วยรัฐมหาอำนาจตะวันตกที่มีความก้าวหน้าทั้งทางเทคโนโลยีและพลังอำนาจทางทหาร อันมีนัยของการเป็นภัยคุกคามใหม่ในยุคสมัยเช่นนั้น กองทัพของราชสำนักเพื่อนบ้านที่รบกันมาอย่างยาวนานได้สิ้นสภาพไปหมด

 

ความเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์

 

ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้เห็นชัดว่า ความขัดแย้งที่สยามเคยมีกับรัฐของผู้ปกครองท้องถิ่นแต่เดิม ก็เปลี่ยนเปลี่ยนเป็นปัญหากับเจ้าอาฌานิคม และสำหรับในบริบทภูมิภาคนั้น แบบแผนสงครามเก่าที่สยามเคยทำมาตั้งแต่ยุคอยุธยา จนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ก็ถูกแทนที่ด้วย “สงครามสมัยใหม่” ที่เป็นลักษณะของ “สงครามอาณานิคม” (Colonial Warfare) เช่น สงครามระหว่างอังกฤษกับพม่า (The Anglo-Burmese War) เป็นต้น

 

จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ต้องถือเป็นเรื่องที่โชคดีอย่างมาก ที่ความขัดแย้งระหว่างสยามกับมหาอำนาจตะวันตกในยุคนั้น ไม่ได้จบลงด้วยการทำสงครามใหญ่ (เช่นในแบบของพม่า หรือญวน) แม้จะเกิดความขัดแย้งขึ้น และนำไปสู่การสละอำนาจในการควบคุมพื้นที่ที่สยามเข้ายึดครองในช่วงต้นรัตนโกสินทร์ (ลาวและกัมพูชาในปัจจุบัน) ก็มิใช่การสูญเสียการควบคุมดินแดนของสยามแต่เดิม อีกทั้งในที่สุดแล้ว ความขัดแย้งชุดนี้ได้รับแก้ไขด้วยการเปิด “เวทีการทูตสมัยใหม่” ผ่านการเจรจาระหว่างประเทศ และไม่ได้จบลงด้วยการทำสงครามระหว่างประเทศเช่นที่เกิดกับราชสำนักเพื่อนบ้าน

 

สยามต้องยอมสละอำนาจในการควบคุมดินแดน พร้อมกับการทำสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสในกรอบการทูตสมัยใหม่เป็นจำนวน 3 ครั้ง คือ ในปี 1893, 1904, 1907 แต่เกิดผลด้านกลับที่สำคัญอย่างมากคือ การนำไปสู่การปักปันเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส (border demarcation) ซึ่งทำให้เส้นขอบเขตของสยามด้านตะวันออกมีความชัดเจน หรือมีความชัดเจนในทางการเมืองการปกครองว่า ความเป็น “รัฐอาณาเขต” (Territorial State) ของสยามนั้น มีจุดสิ้นสุดที่จุดใดในทางภูมิศาสตร์

 

แต่นัยที่สำคัญในสภาวะเช่นนี้คือ การปักปันเขตแดนนั้น ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างตัวตนของ “สยามรัฐ” ที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็น “รัฐประชาชาติสยาม” ซึ่งเป็นรัฐสมัยใหม่ดังเช่นอารยรัฐที่เกิดขึ้นในโลกตะวันตก และมีองค์ประกอบที่ชัดเจนในเรื่องของการมีพื้นที่ในการปกครอง มีรัฐบาลกลางเป็นผู้ปกครอง มีประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เป็นผู้ถูกปกครอง อีกทั้งยังนำไปสู่การปฏิรูประบบราชการทั้งทหารและพลเรือน เพื่อเป็นรากฐานของการสร้างรัฐสมัยใหม่ อันทำให้สยามรัฐที่ถือกำเนิดขึ้นนี้ ได้ยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศในเวลาต่อมา

 

แม้การมีเส้นเขตแดนที่เกิดจากการปักปันในยุคอาณานิคมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เช่นนี้ จะทำให้สยามก้าวเข้าสู่ความเป็นรัฐสมัยใหม่ก็ตาม แต่ก็คาดเดาได้ไม่ยากสำหรับชีวิตของสยามรัฐในอนาคตว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป เส้นเขตแดนเช่นนี้จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาข้อพิพาทกับประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าจะเป็นผลจากความไม่ชัดเจนของหลักหมุดในบางจุด หรือความเปลี่ยนแปลงทางภูมิศาสตร์ในบางพื้นที่ก็ตามที่อาจส่งผลกระทบต่อเส้นสันปันน้ำแต่เดิม

 

ผลพวงยุคอาณานิคม

 

เมื่อสยามเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ความเป็นประเทศไทย และเดินทางเข้าสู่ช่วงเวลาของยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับบรรดารัฐอาณานิคมเหล่านี้ ก้าวสู่ความเป็น “รัฐเอกราช” ซึ่งมีนัยว่า บรรดาพื้นที่รอบตัวประเทศไทยได้กลายเป็น “ประเทศใหม่” (the New Nations) ในทางรัฐศาสตร์ หรือที่เรียกอีกแบบว่า “ยุคหลังอาณานิคม” (the Post-Colonial Era) ซึ่งก็สอดรับกับการมาของการเมืองโลกใน “ยุคสงครามเย็น” (the Cold War) ที่มีความขัดแย้งระหว่างโลกทุนนิยมกับโลกสังคมนิยมเป็นกระแสหลัก

 

ในกรณีเช่นนี้ บรรดารัฐเอกราชใหม่ในภูมิภาคมีสถานะเป็น “รัฐผู้สืบสิทธิ์” ที่เป็นผู้สืบทอดความตกลงที่สยามมีกับเจ้าอาณานิคมเดิม ดังจะเห็นได้ว่า เส้นเขตแดนที่เกิดจากการปักปันระหว่างสยามกับอินโดจีนฝรั่งเศส ได้กลายเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับลาวและกัมพูชาในโลกยุคปัจจุบัน เช่นเดียวกับเส้นเขตแดนที่สยามตกลงกับอังกฤษ ได้กลายเป็นเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับเมียนมาและมาเลเซียในโลกปัจจุบัน

 

อย่างไรก็ตาม คงเป็นเรื่องที่พอคาดได้เสมอว่า อย่างไรเสียการกำเนิดรัฐเพื่อนบ้านที่เป็นเอกราชนั้น อาจจะนำไปสู่ปัญหาข้อพิพาทชายแดนระหว่างไทยกับบรรดารัฐผู้สืบสิทธิ์เหล่านั้นในพื้นที่บางจุดอย่างแน่นอน ดังจะเห็นได้ว่า ปัญหาข้อพิพาทสำคัญเกิดขึ้นในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหาร เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องนี้ และจบลงด้วยคำตัดสินของ “ศาลโลก” (ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ – ICJ) ในปี 1962 (พ.ศ. 2505) หรืออาจเรียกว่าเป็น “วิกฤตการณ์พระวิหาร ครั้งที่ 1” และกลายเป็น “แผลเก่า” ของคนในสังคมไทยยุคปัจจุบัน

 

แต่สำหรับยุคสงครามเย็นแล้ว ปัญหาที่ใหญ่กว่าทุกเรื่องในมิติด้านความมั่นคงคือ การคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ จนเมื่อสงครามเย็นยุติลง ปัญหาผลประโยชน์ของรัฐจึงกลับมาสู่เรื่องพื้นฐานดั้งเดิม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ การอ้างกรรมสิทธิ์ของรัฐในพื้นที่ข้อพิพาท ดังคำกล่าวที่ว่า “ดินแดนถือเป็นประเด็นหลักของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษาเรื่องความขัดแย้งระหว่างประเทศ” (Paul F. Diehl, Territory and International Conflict, 1999) หรืออีกนัยหนึ่ง โลกในยุคหลังสงครามเย็นกลับสู่ยุคผลประโยชน์แห่งรัฐ ที่ผูกโยงกับความเป็น “รัฐอาณาเขต” ในแบบเดิม นั่นเอง

 

แล้วในที่สุด ความสัมพันธ์ไทยกับเพื่อนบ้าน ที่ส่วนหนึ่งมีความหวาดระแวงเป็นพื้นฐาน และมีความไม่พอใจทางการเมืองเป็นองค์ประกอบสำคัญด้วยนั้น ทำให้ความต้องการของกัมพูชาในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นจุดปะทุที่ทำให้กลุ่มอนุรักษนิยมขวาจัดเปิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองในปี 2008 (พ.ศ. 2551) และความขัดแย้งขยายตัวจนนำไปสู่การใช้อาวุธในปี 2011 (พ.ศ. 2554)

 

การใช้กำลังใน “วิกฤตการณ์พระวิหาร ครั้งที่ 2” เปิดโอกาสให้กัมพูชาขออุทธรณ์คำตัดสินศาลโลก 1962 เพื่อให้เกิดความชัดเจน และนำไปสู่คำตัดสินศาลโลกอีกครั้งในปี 2013 (พ.ศ. 2556) ซึ่งน่าสนใจว่าหลังจากคำตัดสินของศาลฯ ได้ออกมาแล้ว รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศได้ดำเนินการตามคำตัดสินดังกล่าวเพียงใด แต่ประเด็นนี้ ได้กลายเป็นการสะกิด “แผลเก่า” ของสังคมไทยอีกครั้ง

 

ถ้าเราคิดว่า หลังจากวิกฤตการณ์พระวิหาร ครั้งที่ 2 แล้ว ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาจะหลุดออกจาก “ปัญหาแผลเก่า” ได้ ก็อาจจะเป็นความฝันที่ไกลไปสักหน่อย

 

เรื่องเก่า-เวลาใหม่

 

ไม่น่าเชื่อเลยว่า ในที่สุดแล้วความขัดแย้งของประเทศทั้ง 2 ได้หวนคืนกลับมาอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2025 (พ.ศ. 2568) และไม่ผิดคาดที่ความขัดแย้งนี้ นำไปสู่การใช้กำลังของรัฐคู่พิพาทอีกครั้งด้วย จนกลายเป็นสภาวะ “ปัญหาเก่า-เวลาใหม่” ในตัวเอง และความขัดแย้งครั้งนี้ยังทับซ้อนกับปัญหาการเมืองภายในของไทยเอง โดยเฉพาะบทบาทของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร

 

อีกทั้งเมื่อมีแนวโน้มที่ความขัดแย้งอาจขยายตัวมากขึ้น ปัญหานี้จึงตามมาด้วยการเกิด “สภาพบังคับ” จากวอชิงตัน ให้ทั้ง 2 ฝ่ายต้องหยุดยิง กล่าวคือ เป็นการใช้ “อำนาจบังคับทางยุทธศาสตร์” (strategic coercion) ของผู้นำสหรัฐฯ ด้วยเงื่อนไขของ “ภาษีทรัมป์” (The Trump Tariff) เพื่อให้เกิดสันติภาพชายแดนไทย-กัมพูชา

 

แม้การหยุดยิงจะเกิดภายใต้สภาพบังคับ และคู่พิพาทเองดูจะยังไม่มี “ความพร้อม” ทางการเมืองในการยุติความขัดแย้ง แต่ในอีกด้านก็อาจถือเป็นข้อดีที่การหยุดยิงเกิดขึ้นได้ เพราะหากการใช้อาวุธขยายตัวออกไป จนกลายเป็นความขัดแย้งขนาดใหญ่แล้ว ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพด้านความมั่นคงของภูมิภาคเท่านั้น หากยังอาจกลายเป็นเงื่อนไขให้รัฐมหาอำนาจใหญ่เข้าแทรกแซงมากขึ้นด้วย

 

ในอีกด้าน หากความขัดแย้งขยายตัวแล้ว อาจกลายเป็นแรงกดดันให้ปัจจัยพหุภาคีเข้าแทรกแซงมากขึ้น และอาจจะไม่เป็นผลประโยชน์ต่อไทยอย่างที่ผู้นำไทยต้องการ เพราะจะยิ่งลดโอกาสของไทยในการต่อรองและการควบคุมสถานการณ์ ดังจะเห็นได้ว่า แนวทางการยุติความขัดแย้งแทบไม่เหลือความเป็นทวิภาคีแต่อย่างใด หรืออาจต้องยอมรับว่า “อำนาจในการคุมเกม” ของไทยไม่ได้มีมากอย่างที่เราคิด (และคุย) กันเองในสังคมไทย

 

นอกจากนี้ทางด้านของไทยเองนั้น ในท่ามกลางการปลุกกระแส “ชาตินิยม” (Nationalism) ที่ขยายไปสู่การผลักดันกระแส “เสนานิยม” (Militarism) คู่ขนานกันนั้น ทำให้การดำเนินการด้านการทูตมีความจำกัดมากขึ้น และส่งผลให้เกิดภาวะ “กระแสนำนโยบาย” ที่อาจกลายเป็นการทำนโยบายต่างประเทศที่หวังผลตอบแทนจากกระแสการเมือง ซึ่งในอีกส่วนนั้น ผลตอบแทนเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองในไทยพยายามจะตักตวง เพราะการใกล้เข้ามาของเวลาการยุบสภา และการเลือกตั้งที่อาจเกิดในเร็ววัน ดังนั้น การหวังผลตอบแทนจากกระแสการเมือง จึงเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดและหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

แต่ปัญหาในทางปฏิบัติคือ การใช้กระแสเป็นตัวกำหนดทิศทางนโยบายนั้น จะยังช่วยให้ไทยเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศจริงหรือไม่ หรือเราอาจต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงแล้ว ไทยมีสถานะเป็น “รอง” ในเวทีโลก และการเดิมเกมระหว่างประเทศที่จะสามารถช่วยพลิกฟื้นสถานะของความเป็นรองเช่นนี้ อาจไม่ใช่เรื่องง่าย

 

อีกทั้ง ผลการขยับตัวของกระแสเสนานิยมทำให้เกิดการถล้ำไปกับความเชื่อว่า การใช้กำลังจะเป็นหนทางในการสร้างความได้เปรียบให้แก่ไทย แต่ผลที่เป็นจริง อาจจะกลายเป็นหนทางที่นำไปสู่ความเสียเปรียบได้อย่างคาดไม่ถึง เพราะสุดท้ายแล้ว เวทีโลกต้องการเห็นการยุติสงครามนี้ มากกว่าจะเลือกสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้เกิดการยกระดับความขัดแย้งนี้ ซึ่งเรามักตั้งปุจฉาในบ้านกันเองแบบง่ายๆ ว่า สหรัฐฯ จะสนับสนุนใคร … จีนจะเลือกใคร เป็นต้น

 

คำถามเช่นนี้อาจไม่เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะมหาอำนาจต้องการการหยุดยิงและยุติปัญหา มากกว่าที่จะต้องการเห็นการขยายตัวของความขัดแย้งในภูมิภาค เพราะการขยายตัวของความขัดแย้งอาจไม่ตอบสนองต่อผลประโยชน์อย่างที่พวกเขาต้องการ

 

ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่ง กัมพูชาปัจจุบันในปี 2025 ไม่ใช่กัมพูชาในยุควิกฤตการณ์พระวิหารครั้งแรกในปี 1962 หรือเป็นกัมพูชาในวิกฤตการณ์พระวิหารครั้งที่ 2 ในปี 2013 ที่ยังอ่อนแอในทุกด้าน กระนั้น แม้จะอ่อนแอกว่าไทย ก็สามารถทำให้ไทยต้องไปสู้คดีในศาลโลกในทั้ง 2 กรณี

 

แต่กัมพูชาวันนี้มีขีดความสามารถในการเล่นเกมส์ในเวทีสากลอย่างมาก (มากกว่าที่ผู้นำไทยคิด!) จนอาจกล่าวได้ว่า กัมพูชาประสบความสำเร็จในการเอาเวทีโลกมาอยู่ข้างตัว ประกอบกับด้วยสถานะของความเป็นรัฐใหญ่ของไทยนั้น กัมพูชาจึงง่ายในการใช้วาทกรรม “ผู้ใหญ่รังแกเด็ก … รัฐใหญ่รังแกรัฐเล็ก” เป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว วาทกรรมเช่นนี้ใน “สงครามข่าวสาร” มีส่วนอย่างมากในการสร้างความสนับสนุนและความเห็นใจที่เวทีโลกจะให้แก่กัมพูชา และมองไทยในทางลบ

 

หาเสียง-หาแสง !

 

ในกรณีนี้ ผู้นำไทยอาจต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจกับเวทีโลกมากขึ้น เพราะการทำนโยบายต่างประเทศเพื่อตอบสนองต่อกระแสการเมืองภายในดังเช่นที่เกิดในปัจจุบัน จะทำให้เกิดนโยบายแบบ “หาแสง” ซึ่งไม่น่าจะเป็นผลประโยชน์ของไทยในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และอาจทำให้ไทยเป็นฝ่ายเสียเปรียบในเวทีสากลได้ง่ายๆ เพราะกติกาและบรรทัดฐานในเวทีระหว่างประเทศ อาจจะแตกต่างจากสิ่งที่กระแสการเมืองไทยคิดเอาเอง

 

ผู้นำและผู้คนในสังคมไทยอาจต้องตระหนักว่า โลกที่เป็นจริงในทางสากล กับโลกที่ “กระแสไทย” ต้องการและอยากจะให้เป็นนั้น อาจจะไม่สอดรับกัน ประกอบกับไทยเองในยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีพลังอำนาจในด้านต่างๆ มากจนสามารถกดดันให้กัมพูชายุติปัญหาได้ตั้งแต่ในช่วงต้น จึงทำให้ปัญหาชุดนี้ถูกลากยาวมานานกว่าที่หลายฝ่ายคิด (แต่เดิมมีความเชื่อกันว่า การเปลี่ยนรัฐบาลที่กรุงเทพฯ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการยุติปัญหา)

 

ในอีกด้าน ผลจากการทำเช่นนี้จะเป็นการสร้างนโยบายต่างประเทศในแบบ “หาเสียง” โดยจะให้ความสนใจน้อยในเรื่องของผลกระทบต่อผลประะโยชน์แห่งชาติและความได้เปรียบของไทย หากแต่ความสนใจหลัก คือ ความต้องการคะแนนสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานข้างหน้า คำถามในอนาคต จะเหลือแต่เพียงประการเดียวว่า แล้วผู้นำไทยคิดที่จะออกแบบ “จุดสิ้นสุดของเกมส์” (endgame) ในทางยุทธศาสตร์ที่จะเป็นผลบวกกับไทยอย่างไร

 

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ปัญหาข้อพิพาทเรื่องเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเป็น “แผลเก่าที่ไม่ตกสะเก็ด” … เกาครั้งใด ก็ได้เลือดออกทุกครั้ง และยังมี “แผลใหม่” ที่เลือดยังสดอยู่มาสมทบเข้าไปอีก จนไม่แน่ใจว่า สุดท้ายแล้วใครจะเอา “ยาสมานแผล” มาช่วย

 

เอาเป็นว่า ไม่ว่าเราจะชอบผู้นำสหรัฐหรือไม่ก็ตาม แต่ตอนนี้ทรัมป์มาช่วย “ปิดพลาสเตอร์” ให้ชั่วคราวไปก่อน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครมาดึงพลาสเตอร์ออกให้ “เลือดไหล” กันอีกหรือไม่ … บางคนอาจจะบอกว่า ไม่ชอบ “พลาสเตอร์ฝรั่ง” อยากเอา “พลาสเตอร์จีน” มาแทน … บางคนสวนกลับมาว่า ไม่เอาทั้งของฝรั่งและของจีน แต่จะใช้ “พลาสเตอร์ไทย” เท่านั้น

 

ประเด็นนี้คงต้องติดตามกันต่อไปในอนาคตว่า ตกลงเราจะใช้พลาสเตอร์ของใครในการปิดแผลห้ามเลือด หรือสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่ไปปิดที่ “ศาลโลก” ก็อาจต้องไปปิดแผลกันที่ “เวทียูเอ็น” ที่นิวยอร์ก (555)!

 

ภาพ: GAlexS via ShutterStock

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising